พูดถึงเรื่องกองหน้าและตำแหน่งต่างๆ เมื่อทำประตูได้ ก็จะมีรางวัลโบนัส สำหรับการทำประตู ของนักเตะรายนั้นๆ หากอยู่ในสัญญา โดยส่วนมากตำแหน่งแนวรุก จะได้โบนัสส่วนนี้ ลงในสัญญาอยู่แล้ว เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำประตู เพราะตำแหน่งกองหน้ามีไว้เพื่อจบสกอร์อยู่แล้ว แต่วันนี้จะมาพูดถึงตำแหน่งผู้รักษาประตูกันบ้าง เมื่อเขาสามารถป้องกันประตู จนจบเกมนั้น ไม่เสียประตู มีคำเรียกกันว่า คลีนชีท

วันนี้ วิเคราะห์บอล UFA เลยพามาดูกันว่า คลีนชีท คืออะไรและมีสิทธิ์พิเศษอะไรบ้าง

คลีนชีท คืออะไร

ตำแหน่งผู้รักษาประตู ในวงการฟุตบอล ถือว่าเป็นตำแหน่ง ที่กดดันมากที่สุด ของวงการฟุตบอลเลยทีเดียว เพราะหากพวกเขาทำได้ดี เซฟอุตลุด ช่วยทีมเซฟแต้มได้นั้น อาจจะได้รับคำชมไม่มากนัก ไม่เท่ากับตำแหน่งศูนย์หน้า ที่คอยถล่มสกอร์

โดยผู้รักษาประตู ถูกได้รับคำสรรเสิญเยินยอ น้อยไปกว่ามาก ไม่เทียบเท่ากับตำแหน่งอื่นๆ แถมถ้าหาก ผู้รักษาประตูรายนั้น แสดงความผิดพลาดออกมาแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าโดยวิจารณ์สนั่น ในโลกออนไลน์

หากมือกาวรายได้ รับมือกับความกดดันเหล่านี้ไม่เจอ บอกเลยว่าอาชีพการค้าแข้ง แทบจะหมดอนาคตเลยทีเดียว โดยเสียงวิจารณ์เสียงกร่นด่า ดูจะรุนแรงและโหดร้ายเหลือเกิน

ซึ่งก็น่าเห็นใจ กับตำแหน่งผู้รักษาประตู เสียเหลือเกิน ที่ต้องเสียผู้เสียคน กับเสียงวิจารณ์มานักต่อนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวผู้รักษาประตูเอง ก็ต้องพยายามสร้างความผิดพลาดให้น้อยที่สุดเท่าจะเป็นได้

แต่ฟุตบอลสมัยนี้ บทบาทผู้รักษาประตูก็มีเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่นหลักๆ ที่เห็นกันในทีมใหญ่ ผู้รักษาประตูจะมีส่วนร่วมกับเกมในการออกบอลจากพื้นที่เขตโทษ ซึ่งนี่กลายเป็นพื้นฐานของเกมรุกไปโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว

เพราะการออกบอลที่ดี และแม่นยำ สามารถส่งต่อให้เพื่อนร่วมทีม ไปทำอะไรต่อได้อย่างดิบดี แต่ก็มีเห็นเหมือนกัน ที่ผู้รักษาประตูออกบอลพลาด จนทีมกลายเป็นเสียเปรียบ ถึงขั้นเสียประตู ได้เลยทีเดียว

แต่หน้าที่หลักๆ ของ ผู้รักษาประตู แน่นอนว่าต้องเป็นการเซฟประตู ยืนปักหลักเฝ้าเสา คอยอ่านสถานการณ์ อ่านจังหวะเกม สั่งการแผนกองหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ ทะลุทะลวงมาถึงเขา แต่หากว่าทีมตรงข้าม ได้จังหวะสับไก นั่นหมายความว่า เขาต้องป้องกันประตูไม่ให้ ลูกฟุตบอลลงไปซุกที่ก้นตาข่ายให้ได้

โดยผู้รักษาประตูมือหนึ่ง หรือมือสองแทบทุกราย จะมีสัญญาระบุไว้ชัดเจน ถ้าหากรักษาประตูได้จนจบเกม โดยไม่เสียประตู จะได้เงินรางวัลโบนัส ในการรักษาคลีนชีท ซึ่งก็แล้วแต่ระบุในสัญญา ของตัวนักเตะแต่ละราย ซึ่งก็จะได้รับโบนัสไม่เหมือนกัน

ที่นี้ทั้งนั้น เพื่อเป็นแรงจูงใจ ในการทำผลงานให้ดี และรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่น ที่ดีให้ได้สม่ำเสมอนั่นเอง สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจชั้นดี ที่ทำให้นักเตะในตำแหน่งเกมรับ มีความมุ่งมั่นไม่ยอมเสียประตูให้คู่แข่งง่ายๆ

ซึ่งนอกจากตำแหน่งผู้รักษาประตูแล้ว ตำแหน่งผู้เล่นในเกมรับทั้ง เซ็นเตอร์แบ็ค ตำแหน่งแบ็ค หรือตำแหน่งมิดฟิลด์ ตัวรับ หรือ ตำแหน่งอื่นๆ หลายรายก็จะมีการใส่สัญญาได้รับโบนัส ในการเก็บคลีนชีทอีกด้วย ซึ่งจะได้โบนัสกันเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับข้อเสนอในสัญญาที่ระบุกันเอาไว้นั่นเอง

ยิ่งถ้านักเตะรายไหนโชว์ฟอร์มได้ดี มีส่วนช่วยให้ทีมป้องกันประตู ได้หลายต่อหลายครั้ง อาจมีการได้รับสัญญาฉบับใหม่ ได้ข้อเสนอต่างๆ ระบุในสัญญาเพิ่มมากขึ้น รวมถึง หากแข้งหรือผู้รักษาประตู มีสถิติคลีนชีท ที่ดีมากๆ จนถึงขั้นติดอันดับท็อป ของรายการแข่งขันต่างๆ ก็อาจจะได้โบนัสพิเศษ เพิ่มเติมไปด้วย

แน่นอนว่า ก็ต้องมีการระบุลงในสัญญาลงไปด้วย ถ้าหากไม่มี ก็แปลว่าแข้งรายนั้นอาจจะอด อย่าคิดว่าตำแหน่งผู้รักษาประตูและตำแหน่งกองหลังไม่สำคัญ เพราะดูตัวอย่างง่ายๆ ในทีมพรีเมียร์ลีก ระดับท็อป พวกเขาต้องมีตำแหน่งนี้ที่ไว้ใจได้ให้ได้มากที่สุด

เพราะในเกมสำคัญ การมีตำแหน่งแนวรับที่ไว้ใจได้ ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เพราะหากพลาดพลั้ง เพียงแค่จังหวะเดียว อาจหมายถึงความพ่ายแพ้ ที่ไม่อาจแก้ตัวได้เลย

ยกตัวอย่าง สองกองหลังระดับท็อป ของพรีเมียร์ลีก อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์จ ที่เป็นหัวใจหลักในเกมรับ โดยมีเขาลงสนามนั่นแปลว่าทีมอุ่นใจได้เลย นี่หลังจากหายเจ็บกลับมา ก็ยังทำผลงานได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย

ส่วน รูเบน ดิอาซ กองหลังของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทีม เรือใบพันล้าน ต้องจ่ายค่าตัวแพงระยับ เพื่อคว้าตัวเขามาบัญชาแนวรับ ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน ดิอาซ ก็เป็นโนหนึ่งในตำแหน่งแนวรับของ ซิตี้

เห็นได้ชัดเจนว่า การเข้ามาของเขา ทำให้แนวรับที่เป็นหลุมเป็นบ่อดีขึ้นอย่างไร เช่นเดียวกับนายทวารมือหนึ่งเช่นกัน ที่ผู้รักษาประตูเบอร์หนึ่งของทีม ต้องเหนียวแน่นไว้ใจได้ให้ได้มากที่สุด อาจไม่ต้องมีช็อตเซฟหวือหวา ขอแค่นิ่ง ทันเกม ลดความแสดงผิดพลาดให้ได้น้อยที่สุด ก็ถือว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมได้แล้ว

ดังนั้น คลีนชีท หรือการไม่เสียประตูในเกมนั้นๆ มันมีผลในระยะยาว อย่างเช่นโปรแกรมฟุตบอลลีก รวมถึงฟุตบอลถ้วยต่างๆ ที่แข่งกันแบบเหย้า-เยือน เช่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูโรป้า ลีก ซึ่งแม้ว่าจะยกเลิกกฏอเวย์โกลไปแล้ว

แต่หากว่าทีมยังเก็บคลีนชีทและเอาชนะได้ ก็ถือว่ายังได้เปรียบกว่าอยู่ดี ดังนั้นการเก็บคลีนชีท ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างกับการทำประตูได้เลยทีเดียว

ก่อนจะลากันไป ขอฝากเวปไซต์ เดิมพันออนไลน์ เดิมพันฟุตบอล กีฬา คาสิโน เวปที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้ Ufabet เวปเดียวครบทุกวงจร ฝากถอนรวดเร็ว พร้อมไม่อั้นเรื่องราคา อัตราการต่อรอง ค่าน้ำเรียกได้ว่าล้นๆ เชิญสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเองได้ที่ Ufabet เสิร์ชเลย

Posted in บทความฟุตบอล

สโมสรฟุตบอลแต่ละทีม มีบุคลากรมากมาย ที่ทำงานให้กับทีมนั้นๆ ตั้งแต่นักฟุตบอล, สต๊าฟฟ์โค้ช, เฮ้ดโค้ช และทีมงานทุกภาคส่วนของสโมสร โดยทุกตำแหน่งของสโมสร ก็เป็นแรงขับเคลื่อน และทำหน้าที่แต่ละตำแหน่งกันไป เช่นเดียวกับ ผอ.กีฬา หรือ ผู้อำนวยการกีฬา

โดยวันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพูดถึง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการกีฬา ว่ามีความสำคัญอย่างไร ต่อสโมสรฟุตบอลกันบ้าง

ผอ.กีฬา หรือ ผู้อำนวยการกีฬา มีไว้ทำไม

ตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา มีมาตั้งนานแล้ว โดยลีกอื่นๆ นิยมใช้ เว้นแต่ลีกอังกฤษ ที่ไม่ค่อยนิยมใช้เท่าไหร่ เพราะยุกก่อน ยังใช้ระบบผู้จัดการทีม ที่ส่วนมากจะได้สิทธิ์ต่างๆ ในการจัดการทีม

เรียกได้ว่า นอกจากจะคุมทีม วางแทคติกส์และคุมเกมข้างสนามแล้ว ผู้จัดการทีมยังจัดการหลายเรื่อง ทั้งการซื้อนักเตะ การเดินทางไปชมการแข่งขันคู่อื่น หรือบางทีม ผู้จัดการทีม มีส่วนในการวางแผนทำสนามใหม่ด้วยซ้ำ

ซึ่งดูแล้ว ตำแหน่งผู้จัดการทีม ของสโมสรฟุตบอล ดูจะมีบทบาท มีหน้าที่ ที่เยอะเกินไป ดังนั้น ตำแหน่งผู้จัดการทีมในปัจจุบัน ไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว โดยส่วนมากจะเป็นตำแหน่งเฮ้ดโค้ช คือคุมทีม วางแทคติกส์ พาทีมฝึกซ้อม และคุมทีมข้างสนาม คอยสั่งการลูกทีมนั่นเอง

ส่วนเรื่องอื่น ก็เป็นหน้าที่ของตำแหน่งอื่น เป็นคนจัดการ อย่างเช่นตำแหน่ง ผู้อำนวยการกีฬา ที่เราพูดถึงกันในบทความนี้ ก็มีหน้าที่หลากหลายแตกต่างกันไป แล้วแต่ละสโมสรจะจัดการ และมอบหน้าที่ให้ทำอย่างไรบ้าง

โดยส่วนใหญ่เลยนั้น ตำแหน่งดังกล่าว จะทำงานร่วมกับ เฮ้ดโค้ช และ สต๊าฟฟ์โค้ช แต่ตนเองจะนั่งโต๊ะ ทำหน้าที่วิเคราะห์ ประเมินผลการทำงานของทีม รวมถึงได้อำนาจในการซื้อ-ขายนักเตะอีกด้วย

ซึ่งการซื้อ-ขายนักเตะ ผู้อำนวยการกีฬา ก็จะต้องมีการพูดคุยกับเฮ้ดโค้ช และต่อด้วยการพูดคุย กับบอร์ดบริหารอีกที แต่ก็มีบางครั้งที่ ผอ.กีฬากับเฮ้ดโค้ช ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ นักเตะที่เฮ้ดโค้ช ขอมา แต่ ผู้อำนวยการกีฬา ไปคว้านักเตะมาอีกราย แบบนี้ก็มีให้เห็นเป็นประจำ

หรือนักเตะคนไหน ที่ เฮ้ดโค้ช ไม่อยากขาย แต่ผู้อำนวยการกีฬา อนุมัติการขาย ก็มีให้เห็นประจำ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ควรจะปรึกษาหารือกันให้ได้ ต้องไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ ผอ.กีฬาอาจมีหน้าที่ ในการพูดคุยเจรจาเบื้องต้นกับสโมสรอื่น ในการซื้อ-ขาย นักเตะด้วยตัวเองอีกด้วย ก่อนที่จะเป็นหน้าที่ของฝ่ายอื่นๆ ต่อไป

หลังจากทำการเจรจาพูดคุยกับสโมสรคู่ค้าสำเร็จแล้ว บางที อาจจะเป็นการดูฟอร์ม ดูข้อมูลนักเตะ เพื่อทำการวิเคราะห์ หานักเตะฝีเท้าดีมาเสริมทัพ ก็เป็นหน้าที่ของ ผอ.กีฬา เช่นกัน

โดยตำแหน่งนี้หลักๆ แล้ว ก็เป็นการประเมิน วางแผนร่วมกับทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ช เฮ้ดโค้ช ทั้งแทคติกส์การเล่น แบบไหนนจะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เฮ้ดโค้ช และ สต๊าฟฟ์โค้ช มีฝีมือมากพอไหม ควรเปลี่ยนไหม นักเตะรายไหน การซ้อมเป็นอย่างไร เล่นตามปรัชญา ของกุนซือได้หรือไม่ นักเตะรายไหนสัญญาใกล้หมด จะทำการต่อสัญญาไหม

ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ ที่ของผอ.กีฬา ต้องจัดการ โดยทำงานควบคู่กับทีมงานของสโมสร และสุดท้ายไปเสนอกับ บอร์ดบริหารของทีม ต่อไป โดย ผอ.กีฬา ถือว่าเป็นเบื้องหลังของสโมสรเช่นกัน

หากว่าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี มีแผนการที่ดีและการทำงานที่ดี ที่สำคัญเลยต้องมีความรู้เรื่องฟุตบอลระดับสูง ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย กลายเป็นเน้นไปเรื่องธุรกิจเรื่องเดียว

ซึ่งมันส่งผลร้ายต่อทีมอย่างแน่นอน เพราะหาแต่กำไร ไม่สนการพัฒนาระบบโครงสร้าง ของแทคติกส์ฟุตบอล การเล่นฟุตบอล เพราะตำแหน่ง ผอ.กีฬา ก็ต้องทำงานกับ เฮ้ดโค้ช โดยตรง ต้องมีการหารือแนะนำและปรับปรุง ให้คุณภาพการเล่นของทีม มีการพัฒนาต่อยอดที่ดีขึ้น

ดังนั้นจะเห็นว่า ผอ.กีฬาเป็นนักเตะระดับตำนาน ซึ่งแต่ละคนก็มีหน้าที่ แล้วแต่ที่สโมสรจะให้สิทธิ์ และแน่นอนว่าตำแหน่ง ผู้อำนวยการกีฬา มีความสำคัญ และความจำเป็นต้องมี ในสโมสรฟุตบอลยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการลดภาระ ของผู้จัดการทีม ที่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว

โดย ผู้อำนวยการกีฬา ทีมไหนเป็นงาน ทำงานได้มีประสิทธิภาพ เห็นได้ชัดเลยว่าทีมนั้นก็มีการจัดการบริหารที่ดี ไม่มีข่าวเกาเหลากันในทีมให้ชวนหัวและเดินหน้าทำงานอย่างมีระบบ

แต่ถ้าหากว่า ผู้อำนวยการกีฬา ทีมไหนทำงานไม่ได้เรื่อง มันก็บ่งบอกให้เห็นว่า ระบบของทีมนั้น มันย่ำแย่เพียงใด การจัดการภายนอกสนามยังแย่ แล้วในสนามมันจะไปเหลืออะไร

ตัวอย่างชัดเจนตอนนี้ ก็มีให้เห็นกันอยู่ แถมเป็นทีมดังเสียด้วย ลองดูว่าพวกเขาเสียหายขนาดไหน เดินผิดก้าวเดียวชีวิตเปลี่ยน แต่บางทีก็เดินผิดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับสภาพกันไป

Posted in บทความฟุตบอล

ไฮบิวรี่ คือสนามเหย้าเก่าของ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ซึ่งสนามนี้ถูกเปิดใช้มาตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 1913 จนปิดไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2006 เนื่องจาก อาร์เซน่อล สร้างสนามใหม่ โดยใช้สนามเหย้าแห่งใหม่ ของพวกเค้า ที่ชื่อว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มาจนปัจจุบัน

วิเคราะห์บอล UFA พามาดูกันว่า ทำไม อาร์เซนอล ถึงเลือกที่จะสร้างสนามใหม่ โดยที่ตัดสินใจ ไม่เลือกที่จะต่อเติม สนามเหย้าแห่งเก่า อย่าง ไฮบิวรี่ ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง และเป็นส่วนสำคัญ ที่พาทีมประสบความสำเร็จ แบบที่หาไม่ได้ ในปัจจุบันอีกแล้ว

ทำไม อาร์เซน่อล สร้างสนามใหม่ และเลือกที่จะไม่ต่อเติม ไฮบิวรี่

สนาม ไฮบิวรี่ คือรังเหย้าเก่าของ สโมสรอาร์เซนอล ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนเหนือ คือสนามที่สุดคลาสสิค สนามหนึ่งแห่งประเทศอังกฤษ โดยสนามนี้ ตั้งอยู่แถบไฮบิวรี่ โดยมีความจุประมาณ 38,000 ที่นั่ง

สาเหตุหลักๆ ที่ สนามแห่งนี้ถึงต้องทุบทิ้งและทางสโมสรอาร์เซนอล มีความต้องการย้ายไปสร้างสนามใหม่ เนื่องจากพื้นที่ตรงนั้นไม่สามารถต่อเติมได้แล้วนั่นเอง โดยเป็นพื้นที่ใกล้ชุมชน มากเกินไป และความสะดวกต่างๆ เรียกได้ว่าไม่พร้อมเลย

จะขยับขยายต่อเติม ก็ไม่ได้แล้ว เพราะสนามมีขนาดเล็ก และอายุเก่าแก่เกินไป ดูจากแผนผังแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้มากอีก ดังนั้นทางสโมสร จึงต้องหาที่ดินผืนใหม่ ที่ใกล้กับไฮบิวรี่ให้ได้มากที่สุด โดยได้พื้นที่ดินที่กว้าง บริเวณแอชเบอร์ตันโกรฟ นั่นเอง

ซึ่งการสร้างสนามเ อมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็เพื่อต้องการยกระดับทีม และเพื่อรองรับขนาดผู้ชม ของแฟนบอลที่เพิ่มมากขึ้น เพราะในช่วงยุคต้นปี 2000 อาร์เซนอล ที่เป็นทีมหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คว้าแชมป์มากมาย รวมถึงสร้างตำนานไร้พ่าย

โดยสนามใหม่ของ อาร์เซนอล นามว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มีความจุ 60,355 ซึ่งเป็นเก้าอี้นั่งแทบทั้งหมด โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2004 ตอนแรกจะใช้ชื่อสนามว่า แอชเบอร์ตันโกรฟ

แต่ทาง สายการบินเอมิเรตส์ ที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ในการสร้างสนามแห่งนี้ ก็เลยได้สิทธิ์ชื่อสนาม จนเป็นที่มาของชื่อ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นั่นเอง โดยเริ่มเปิดใช้ในฤดูกาล 2006/07 จนถึงปัจจุบัน

สนามแห่งใหม่ มีการเดินทาง ที่สะดวกกว่าเดิม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะความจุ ของแฟนบอลที่สามารถทำให้แฟนๆ เข้ามาชมเกมในสนาม มากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วย ค่าตั๋วที่แพงระยิบ ซึ่งแพงมากที่สุด เป็นอันดับที่ 1 ของลีก

แต่สิ่งที่น่าสนใจ เพราะหลังจาก อาร์เซนอล มาใช้สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มนต์ขลังเก่าๆ จาก สนามไฮบิวรี่ ที่เรียกว่าเป็นนรกของทีมเยือน เพราะขนาดสนาม ที่แออัดสุดๆ แฟนบอลเรียกได้ว่า อยู่ติดขอบสนาม พร้อมโห่กดดันตลอดทั้งเกม เสียงเชียร์อันกึกก้อง

ทำให้หลายทีม ที่มาเยือนเรียกว่า สั่นประสาทได้ดีเลยทีเดียว แต่กับสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ที่เรียกได้ว่า หรูหราทันสมัย ในช่วงนั้น บรรยากาศเก่าๆ กลับหายไป กลายเป็นว่า แฟนบอลส่วนใหญ่ มาชมเกมเฉยๆ เสียงเชียร์ที่ดังน้อยลง พื้นที่ที่ห่างไกล กับขอบสนาม

ตรงนี้พอเข้าใจได้ เพราะต้องเป็นการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้บรรยากาศของ อาร์เซนอล เปลี่ยนไปจากเดิม ดูไม่ขลังเหมือนเดิมอย่างแน่นอน ถ้าหากใครรับชม อาร์เซนอล ยามเล่นที่ ไฮบิวรี่ ย่อมรู้สึกแบบเดียวกัน

ปัจจุบัน สนาม ไฮบิวรี่ ถูกปรับปรุงให้เป็น ไฮบิวรี่ สแควร์ เป็นที่พักหรูกลางชุมชน ปรับปรุงแบบใหม่อย่างสวยงาม โดยเปิดขายกันให้ซื้อไปอยู่อาศัย ซึ่งก็เป็นแฟนบอล รวมถึงนักฟุตบอล ระดับตำนานของทีม ซื้อไว้อย่างแน่นขนัด

สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนกัน ไปตามกาลเวลา โดยก็ต้องทำให้ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น อย่างเช่น สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ที่ปรับปรุงสร้างใหม่ ได้อย่างสวยงาม เพื่อความสะดวกสบาย ของแฟนบอล ที่เข้าชมในสนาม และเข้ามาเชียร์ให้ได้มากที่สุด เพราะหากไม่มีแฟนบอล สโมสรก็อยู่ไม่ได้ และก็ไม่ใช่สโมสร นั่นเอง

Posted in บทความฟุตบอล

สนาม แอนฟิลด์ คือสนามโด่งดังเบอร์ต้นๆ ของยุโรปและของโลก โดยสนามนี้เป็นความใฝ่ฝันของเดอะ ค็อปส์ ทั่วโลก ที่อยากไปเยือนสักครั้ง แถมตอนนี้ สโมสรลิเวอร์พูล กำลังที่จะ ขยายสนาม แอนฟิลด์ เพื่อปรับปรุงเพิ่มเติม ในส่วนของอัฐจรรย์ฝั่ง แอนฟิลดโร้ด

วันนี้ วิเคราะห์บอล UFA เลยจะพามาดูกันว่า ทำไม การขยายสนาม แอนฟิลด์ ถึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

ขยายสนาม แอนฟิลด์ ทำไมถึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยอดทีม ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จากเกาะอังกฤษ เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุด ของอังกฤษ 19 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 6 สมัย มากที่สุดในประเทศอังกฤษ เช่นกัน

ปัจจุบัน พวกเขากำลังเดินหน้า โครงการขยายสนามแอนฟิลด์ รังเหย้าในตำนาน ที่เป็นสนามอันมีมนต์ขลัง เพิ่มความจุจากเดิม 54,000 ที่นั่งในปัจจบัน ให้เพิ่มเป็น 61,000 ที่นั่ง

โดยจะปรับปรุงเสร็จ และพร้อมเปิดใช้งาน ในฤดูกาล 2023/24 โดยเป็นการปรับปรุงสนาม ฝั่ง แอนฟิลด์ โร้ด สแตนด์ ให้มีความจุเพิ่มขึ้นจากเดิม ประมาณ 7,000 ที่นั่ง

ก่อนหน้านี้ในปี 2016 ลิเวอร์พูล ได้เพิ่มความจุ บริเวณ เมน สแตนด์ แล้วเสร็จไปในปี 2016 โดยการเสนอ แผนขยายความจุสนามครั้งนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบ และอนุมัติ จากสภาเมืองลิเวอร์พูล เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจของสนาม แอนฟิลด์ ในการปรับปรุงสนาม ก็ถือเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจ จากเหล่า เดอะ ค็อปส์ อย่างมาก โดยความจุที่เพิ่มขึ้น ก็หมายความว่า สามารถรับรองแฟนบอล ที่มาชมเกมในสนาม ได้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

นี่ยิ่งเพิ่มความฮึกเหิม และความน่าเกรงขาม มากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับสนามนี้ โดยสังเกตุ จากการถ่ายทอดสด หรือจะรับชมย้อนหลัง กับไฮไลท์ของสนามแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็น นรกของทีมเยือน ที่ไม่มีใครอยากจะมาเจอ พวกเขาที่สนามนี้

เพราะเสียงเชียร์ และบรรยากาศ เรียกว่ากดดัน ข่มขวัญ ทีมตรงข้ามได้ดีเลยทีเดียว เสียงเชียร์อันดังกระหึ่ม บวกกับเพลงเชียร์หลายเพลง รวมถึงเพลงอย่าง You never walk alone หลังจบเกม เรียกได้ว่า เป็นช็อตคลาสสิค และเป็นธรรมเนียม เลยก็ว่าได้

โดยสนามแห่งนี้ เปิดใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2435 แต่ทว่าไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ที่ใช้สนามนี้ โดยเป็นทาง เอฟเวอร์ตัน ที่ใช้เป็นสนามเหย้า ก่อนที่ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” จะได้รังเหย้าใหม่ซึ่งก็คือ กูดิสัน พาร์ค ในปัจจุบันนั่นเอง

ซึ่งสองสนามนี้ มีเพียงแม่น้ำเมอร์ซี่ย์กั้นกลาง เพียงเท่านั้น โดยการขยายสนามของ ลิเวอร์พูล ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างต่อเนื่อง บ่งบอกถึงความพร้อม และสถานการณ์ของสโมสรนี้ ได้เป็นอย่างดี หลังจากผ่านช่วงยุคตกต่ำสุดขีด มาเมื่อช่วง 10 ปีก่อน

และตอนนี้ พวกเขากลับมาทำผลงานในสนาม ดั่งที่เคยได้ฉายาว่าเป็น เร้ด แมชชีน หรือ เครื่องจักรสีแดง ในการถล่มประตูคู่แข่ง เป็นกอบเป็นกำ ฐานแฟนบอลแน่นอยู่แล้ว แถมคุณภาพของตัวผู้เล่น รวมถึงกึ๋นของกุนซือ ก็เรียกได้ว่าเป็นทีมแนวหน้าของยุโรปได้อย่างไม่เขอะเขิน

นอกจากนี้ การขยายสนาม ยังทำให้แฟนบอล สามารถเข้ามาชมเกม ได้เพิ่มเติมมากขึ้น ก็นับว่าเป็นรายได้เพิ่มขึ้นของสโมสร และการขยายโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้แฟนบอลได้ชม ได้เชียร์บรรยากาศในแอนฟิลด์ มากยิ่งขึ้น ซึ่งก็นับว่าเป็นผลดี กับทั้งสโมสร และแฟนบอลอีกด้วย

คาดว่าข่าวนี้ จะทำให้แฟนบอล เดอะ ค็อปส์ รู้สึกภูมิใจ ที่ทีมเชียร์ทีมรักของตนเอง มีการพัฒนาต่อยอดที่ดีมากขึ้น ซึ่งก็ต้องชื่นชมกลุ่ม เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ของ จอห์น เฮนรี่ ที่เข้ามากอบกู้วิกฤตของสโมสร ให้เปลี่ยนจากหลังมือ เป็นหน้ามือ ได้อย่างยอดเยี่ยม

รวมถึงการใช้เงินอย่างชาญฉลาด และการวางแผนบริหารที่ดี ทำให้สโมสรได้กำไร เป็นกอบเป็นกำ แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นทีม ที่มีเงินถุงเงินถังเหมือนทีมอื่นๆ แต่พวกเขาเรียกว่า อยู่ได้แบบมั่นคง มีฐานที่หนักแน่น พร้อมที่จะต่อยอด ไปทีละขั้นได้อย่างสุดยอด

นี่ก็คือสิ่งที่แฟนบอลหงส์แดง ควรรู้สึกดี และควรลดเสียงวิจารณ์ต่อ กลุ่ม FSG ที่ทำไมถึงไม่ทุ่มเยอะ เพราะดูจากการใช้เงินของพวกเขา ส่วนมากได้ผลดี มากกว่าเสียผลประโยชน์ แม้จะมีผิดพลาดบ้าง ในการซื้อนักเตะบางราย

แต่ส่วนใหญ่ พวกเขาเสริมทัพได้ถูกจุด และพาทีมมาไกลได้ขนาดนี้ เรียกว่าใช้เงินเป็น ดีกว่าบางทีมที่ทุ่มซื้อเป็นว่าเล่น แต่ผลงานยังไม่ไปถึงไหนเลย เรียกว่าใช้เงินไม่เป็น เอาไปตำพริกละลายแม่น้ ำแบบไม่ควรจะเกิดขึ้น

อย่าลืมว่าวิกฤตโควิด-19 ทำให้หลายสโมสรเจอผลกระทบหลายอย่าง แต่จากการที่ ลิเวอร์พูล สามารถขยายสนามได้นั้น บ่งบอกได้ดี ว่าพวกเขาวางแผนการเงิน ได้ยอดเยี่ยมเพียงไหน ตรงนี้ก็น่าอิจฉา ลิเวอร์พูล ที่มีระบบการจัดการบริหารสโมสรที่ดี รวมถึงผลงานในสนาม ที่เป็นเต้ยของลีกได้อย่างน่าภาคภูมิใจ มีลุ้นแชมป์ทุกปี

Posted in บทความฟุตบอล

ยังมาต่อกันที่เรื่องราวของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงมากที่สุดในโลก รวมถึงประเทศไทยของเราเอง โดยวันนี้ จะมาพูดกันถึงเรื่อง ราคาตั๋วปี ของแต่ละสโมสร ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้ง 20 ทีม ในฤดูกาล 2020/21 ว่ามีราคาเท่าไหร่กันบ้าง

ราคาตั๋วปี ของแต่ละสโมสรในพรีเมียร์ลีก

โดยราคาตั๋วปีของ 20 ทีมในพรีเมียร์ลีก ทางทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะเรียงลำดับตั้งแต่ ราคาตั๋วปีที่ถูกที่สุด ไปจนถึงราคาตั๋วปีของสโมสรที่แพงที่สุดกัน แต่เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย ตั๋วปีของแต่ละสโมสรในพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่ว่าจะสั่งซื้อกันได้ง่ายๆ โดยต้องมีการสมัครและคัดกรองคุณสมบัติกันอีกที่ แต่ตรงนี้เราจะมาแจกแจงราคาให้ดูกันเพลินๆ โดยเริ่มกันที่

20. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

“ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทีมดังในกรุงลอนดอน เมืองที่ได้ชื่อว่ามีค่าครองชีพสูง แต่ทว่าสโมสรแห่งนี้ มีค่าตั๋วปีเข้าชมเกมในสนามลอนดอน สเตเดี้ยม เพียงแค่ 320 ปอนด์ เท่านั้น หรือ 14,600.68 บาทไทย นั่นเอง

19. แมนเชสเตอร์ ซิตี้

“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สถาปนาตัวเองเป็นทีมระดับแนวหน้าของลีกและของยุโรปได้ร่วมสิบปีมาแล้ว โดยหากใครต้องการตั๋วปีของพวกเขา ก็นับว่าราคาน่าคบหาอย่างมาก โดยจ่ายเพียงแค่ 325 ปอนด์ เพื่อเข้าชมเกมลีกตลอดฤดูกาล ตีเป็นเงินไทยประมาณ 14,828.81 บาท

18. ลีดส์ ยูไนเต็ด

“ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ฤดูกาลนี้ ได้เล่นบนลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน โดยทีมมากประวัติศาสตร์ทีมนี้ มีราคาตั๋วปีอยู่ที่ 349 ปอนด์ หรือตีเป็นเงินไทย 15,923.86 บาท

17. เลสเตอร์ ซิตี้

“จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของสโมสรและเป็นที่รักใคร่ของแฟนบอล โดยทีมแชมป์ลีกปี 2015/16 มีราคาค่าตั๋วปีที่ 365 ล้านปอนด์ ตีเป็นเงินไทย ราคาอยู่ที่ 16,653.90 บาท

16. แอสตัน วิลล่า

“สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า สโมสรที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนานทีมหนึ่งในลีกอังกฤษ โดยตอนนี้พวกเขาก็เป็นทีมที่กำลังยกระดับผลงานได้เป็นอย่างดี โดยมีราคาตั๋วปีอยู่ที่ 370 ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย ราคาอยู่ที่ 16,882.03 บาท

15. เบิร์นลี่ย์

“เดอะ คลาเร็ตส์” เบิร์นลี่ย์ ยังคงโลดแล่นอยู่บนลีกสูงสุดในอังกฤษต่อไป แม้จะเป็นทีมเล็ก แต่ยามเล่นในบ้าน ถือว่าทำผลงานได้ดีตลอด โดยราคาตั๋วปีในการเข้าชมเกมลีกทั้งฤดูกาล อยู่ที่ 390 ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย ราคาที่ 17,794.57 บาท

14. เซาแธมป์ตัน

“นักบุญแดนใต้” เซาแธมป์ตัน ทีมจอมปั้นแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทีมนี้ ยังเป็นสโมสรที่ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา โดยราคาค่าตั๋วปีอยู่ที่ 399 ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย ราคาอยู่ที่ 18,205.22 บาท

13. นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

“สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กับ สนาม เซนต์ เจมส์ พาร์ค ที่ดูแปลกตากว่าสนามอื่นและมีบรรยากาศที่น่าเกรงขาม ในช่วงอดีต แต่ปัจจุบันสภาพทีมเปลี่ยนไปมาก จากการที่มีเจ้าของทีมที่น่าจะถูกเกลียดเป็นเบอร์ต้นๆ ของสโมสรในอังกฤษ โดยราคาตั๋วปี อยู่ที่ 417 ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย ราคา 19,026.50 บาท

12. เบรนท์ฟอร์ด

“ผึ้งน้อย” เบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ แม้จะเป็นทีมน้องใหม่ ทว่าค่าตั๋วชมเกมสนามทั้งฤดูกาล ถือว่าแพงเอาเรื่อง โดยมีราคา 419 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยประมาณ 19,117.76 บาท

11. เอฟเวอร์ตัน

“ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ทีมย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ เป็นอีกหนึ่งทีมที่อยู่คู่พรีเมียร์ลีก มาอย่างยาวนาน โดยสโมสรนี้ ปัจจุบันมีเจ้าทีมที่ร่ำรวยอย่างมากและพร้อมสนับสนุนทีมไม่อั้น โดยมีราคาตั๋วปีอยู่ที่ 420 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยประมาณ 19,163.39 บาท

10. คริสตัล พาเลซ

“ปราสาทเรือนแก้ว” คริสตัล พาเลซ อีกหนึ่งทีมจากกรุงลอนดอน ยังเป็นทีมที่ได้อยู่ในพรีเมียร์ลีกต่อไป พร้อมโครงสร้างที่ขอแค่ไม่ตกชั้นเป็นพอ โดยราคาค่าตัวปีในการเข้าชมเกมลีกทั้งฤดูกาลในสนามเหย้า เซลเฮิร์ต พาร์ค อยู่ที่ 435 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยที่ 19,847.79 บาท

9. วัตฟอร์ด

“แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด ใช้เวลา 1 ซีซั่นในการกลับมาสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง โดยถือว่าเป็นทีมน้องใหม่น่าเก่าอีกหนึ่งทีมในซีซั่นนี้ โดยตั๋วปีของสโมสรนี้ ถือว่าแพงใช้ได้เลยทีเดียว โดยมีราคาอยู่ที่ 496 ปอนด์ หรือ 22,631.05 บาทไทย

8. นอริช ซิตี้

“นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ ก็ใช้เวลา 1 ซีซั่นในการกลับมาสู่พรีเมียร์ลีก ได้อย่างรวดเร็ว โดยเป็นทีมน้องใหม่อีกหนึ่งทีม ที่ค่าตั๋วปีแพงหูฉีก เมื่อเทียบกับขนาดสโมสรที่ยังถือว่าเป็นทีมเล็ก โดยมีราาอยู่ที่ 499 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยที่ 22,767.93 บาท

7. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โคตรทีมแห่งพรีเมียร์ลีก ซึ่งโรงละครแห่งความฝัน สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คแห่งนึงที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นประจำ โดยราคาตั๋วปีอยู่ที่ 532 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยอยู่ที่ 24,273.62 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงมากเกินไปเลยหากจะได้ชมยอดทีมในรังเหย้ามีเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์

6. ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน

“เจ้านกนางนวล” ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เป็นสโมสรที่มีพัฒนาการในผลงานการแข่งขันที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าราคาตั๋วปีของพวกเขา ราคาช่างรุนแรงเหลือเกิน เมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ที่มีราคาไล่เลี่ยกัน โดยอยู่ที่ 545 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยที่ 24,866.77 บาท

5. วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส

“หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ที่ปัจจุบัน โดนแซวว่าเป็น หมาป่าฝอยทอง เพราะมีนักเตะชาวโปรตุเกสเต็มไปหมด โดยราคาค่าตั๋วของพวกเขา ถือว่าแพงเลยทีเดียว โดยราคาอยู่ที่ 549 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทยที่ 25,049.28 บาท

4. เชลซี

“สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เจ้าของแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 20/21 โดยเป็นสโมสรที่ตั้งอยู่กรุงลอน ที่มีรังเหย้านามว่า สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งบรรดาๆ แฟนบอลของทีม อยากไปสัมผัสประสบการณ์ในสนามสักครั้ง โดยตั๋วปีของสโมสร อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ หากเทียบกับถ้วยแชมป์ที่มีประดับสโมสรแทบทุกปี ราคาอยู่ที่ 595 ปอนด์ ตกเป็นเงินไทย 27,148.13 บาท

3. ลิเวอร์พูล

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยอดทีมของลีก ถิ่นฐานอยู่เมอร์ซี่ย์ ไซด์ ซึ่งแน่นอนว่า เดอะ ค็อปส์ ทั่วโลกต่างอยากไปเยือนบรรยากาศของสนามแอนด์ฟิลด์ ให้ได้สักครั้งในชีวิต เพราะทีมนี้และสนามแห่งนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย โดยราคาตั๋วปี อยู่ในเกณฑ์ที่ถ้าหากว่าคุณอาศัยอยู่ที่นั่นสัก 1 ปีขึ้นไปและเป็นแฟนทีมนี้ ก็ควรอุดหนุนน สนนราคา 685 ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย 31,254.57 บาท

2. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

“ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทีมย่านลอนดอนเหนือ ที่ได้เปิดใช้รังเหย้ารังใหม่สุดสวยนามว่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ซึ่งเต็มไปด้วยความทันสมัยและความสะดวกสบายในการเดินทางและใช้งาน โดยราคาก็ต้องแพงไปตามคุณภาพสนาม โดยราคาอยู่ที่ 807 ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย 36,821.08 บาท

1. อาร์เซนอล

“ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนเหนือ ที่เป็นอันดับหนึ่งมาอย่างยาวนานเรื่องราคาตั๋วเข้าชมสนามแพง ทั้งแบบดูแมตช์เดียวและแบบตั๋วปี ซึ่งราคาตั๋วไปในการเข้าไปชมเกมลีกทั้งฤดูกาลในสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมนั้น อยู่ที่ 891 ปอนด์ คิดเป็นเงินไทย ราคาแพงหูฉีกถึง 40,653.76 เลยทีเดียว ซึ่งเอาเข้าจริงจะราคาเท่านี้ แฟนบอลเดอะ กันเนอร์ส ก็พร้อมจ่าย หากทีมกลับมายิ่งใหญ่และทำผลงานให้คุ้มกับค่าตั๋วที่เสียไป

Posted in บทความฟุตบอล

โทษแบน ของวงการฟุตบอล มีหลากหลายอย่าง ทั้งการทำผิดกฏต่างๆ นาๆ ก็จะมีบทลงโทษ ตามหนักตามเบา ว่ากันไปตามเคส ตามกรณี บางรายโดนโทษแบนนัดเดียว บางรายโดนโทษแบนหลายนัด ก็มีที่มาไม่เหมือนกัน รวมไปถึง ฟุตบอลลีก กับฟุตบอลถ้วย ยังมีความแตกต่าง หรือแม้กระทั่ง การโดนแบน เป็นระยะเวลา ก็มีอยู่เช่นกัน

ดังนั้น วันนี้ ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะมาแจกแจงรายละเอียด เกี่ยวกับบทลงโทษ ของโลกฟุตบอล ให้เพื่อนๆ ได้ฟังกัน ซึ่งแน่นอนว่า มีผลกับการ วิเคราะห์บอล พอสมควร

โทษแบน มีอะไรบ้าง บอลลีกต่างจากบอลถ้วยหรือไม่

ในบทลงโทษ ของรายการฟุตบอลลีก ทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่ บทลงโทษจะมีตั้งแต่ การโดนใบเหลือง ครบ 2 ใบ ในเกมเดียวกัน ก็จะถูกตัดสิน ให้เป็นใบแดง ทำให้ถูกไล่ออกจากสนาม เท่านั้นยังไม่พอ ยังตามมาด้วย การถูกห้ามลงสนาม 1 นัด

แต่หาก เป็นใบแดงโดยตรง แบบที่ไม่ได้มีใบเหลืองมาก่อน จะสามารถโดนโทษแบนเพิ่มอีกหลายนัด โดยปกติแล้ว หากเข้าบอลรุนแรง มีเจตนาทำร้าย เพื่อนร่วมอาชีพ จะโดนแบน 3 นัด เป็นอย่างต่ำ

ยกเว้นจังหวะ โปรเฟสชั่นแนล ฟาวล์ หรือเป็นการฟาวล์ ในลักษณะที่มีผู้เล่นหลุดเดี่ยว แล้วกองหลังตัวสุดท้าย หรือผู้รักษาประตู ไปขัดขวางการเล่น หรือการทำประตู โทษแบนจากใบแดง ในลักษณะแบบนี้ จะโดนแบนแค่นัดเดียว เท่านั้น

แต่ในกรณีที่มีการประพฤติตัวไม่เหมาะสม อย่างเช่นไปถุยน้ำลาย ใส่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม กรณีแบบนี้ อาจจะโดนโทษแบนมากขึ้นได้

กรณีที่สโมสร มองเห็นว่า กรรมการตัดสินพลาด ทางสโมสร สามารถยื่นอุทรณ์โทษแบนได้ ซึ่งก็ว่ากัน ไปตามกระบวนการ การตัดสิน ว่าจะพิจารณาอย่างไร ถ้าพิจารณาผ่าน ก็สามารถพ้นโทษแบน แต่ถ้าไม่ผ่าน ก็อาจมีสิทธิ์ โดนลงโทษเพิ่มเติมได้

ในปัจจุบัน ทางผู้จัดการแข่งขัน สามารถยกเลิกใบแดง ในช่วงหลังแข่งได้ ซึ่งจะทำให้ ผู้เล่นคนดังกล่าว พ้นโทษแบนในทันที เสมือนว่า ไม่ได้มีใบแดงใบนั้นเกิดขึ้น อะไรประมาณนี้ครับ

นอกจากนี้ บทลงโทษที่รุนแรง อย่างการใช้สารกระตุ้น ของนักฟุตบอล ก็มีบทลงโทษ ที่รุนแรงอย่างมาก โดยเปลี่ยนจาก จำนวนนัด เป็นการแบน ในช่วงระยะเวลาแทน บางรายถึงกับโดนโทษแบน เป็นหลักปีก็ยังมี

อีกทั้ง โทษแบนจากเกมทีมชาติ ยังมีผลมาถึงกับสโมสรด้วย เช่นในกรณีของ หลุยส์ ซัวเรซ ที่ไปกัด จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ในฟุตบอลโลก 2014 เจ้าตัวโดนโทษแบน ห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอล เป็นเวลา 4 เดือน ทำให้เจ้าตัว หมดสิทธิ์ลงเล่น ให้กับต้นสังกัดไปโดยปริยาย

ส่วนบทลงโทษ ฟุตบอลถ้วย ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก โดยฟุตบอลถ้วย รายการภายในประเทศ ก็จะมีบทลงโทษ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละลีก บางลีก อาจมีบทลงโทษรวมกัน ทั้งฟุตบอลลีก และฟุตบอลถ้วย

เช่น พรีเมียร์ลีก จะมีการร่วมกันแปลกๆ หากโดนใบเหลืองในลีกครบ จะไม่มีผลต่อเกมฟุตบอลถ้วย แต่หากโดนใบแดงโดยตรง แล้วเกมต่อไป เป็นคิวของฟุตบอลถ้วย จะหมดสิทธิ์ลงเล่นในเกมดังกล่าว อะไรแบบนี้ ถือว่าค่อนข้างซับซ้อน

ในฟุตบอลถ้วยระดับทวีปยุโรป อย่างศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็จะมีบทลงโทษเหมือนปกติ โดนใบเหลือง 2 ใบ เท่ากับโดนใบแดง ก็จะถูกไล่ออกสนาม และถูกแบน 1 นัด แต่ถ้าโดนใบแดง โดยตรง 1 ใบ ก็จะถูกแบน 3 นัดติดต่อกัน

ในระดับนานาชาติ ก็แทบไม่แตกต่างกัน โดยมีบทลงโทษหลายอย่าง ทั้งในสนาม และนอกสนาม ทั้งการแจกใบเหลืองใบแดง ที่มีโทษตามปกติ เหมือนกับรายการลีก

ส่วนบทลงโทษ ด้านอื่นๆ ก็เป็นเรื่องการจัดการ ของการเดินทาง ทั้งการส่งรายชื่อนักเตะ ที่ละเมิดกฏอย่างเช่น เอกสารไม่พร้อม อายุเกิน ก็จะมีบทลงโทษ ถึงขั้นตัดสิทธิ์การแข่งขัน ได้เลย

ส่วนเรื่องราว ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกัน ในตอนนี้ คือบทลงโทษ เมื่อทางทีมชาติ เรียกตัวนักเตะ มาติดทีมเข้าแคมป์ เพื่อทำการแข่งขัน ตามรายการในปฏิทิน ฟีฟ่าเดย์ แต่นักเตะ ไม่เดินทางมารายงานตัว ตามที่ทีมชาติได้เรียกตัวเอาไว้

ตรงนี้ก็ผิดกฏ ที่ทางฟีฟ่าได้บัญญัติไว้ ซึ่งนักเตะรายนั้น จะติดโทษแบน 5 วัน ตัวอย่างคือ ทีมชาติบราซิล ที่แจ้งฟีฟ่า ให้แบนผู้เล่น จากศึกพรีเมียร์ลีก ดีที่ทางพรีเมียร์ลีกประชุมกัน ว่าจะไม่ลงโทษกันในกรณีนี้

ซึ่งบทลงโทษต่างๆ ในวงการฟุตบอลก็มีมากมาย ตั้งแต่เรื่องเล็ก ไปจนถึงเรื่องใหญ่ และบทลงโทษ ก็มีการพัฒนาปรับปรุง ให้เที่ยงตรงมากขึ้น เพื่อความเป็นสากล และยุติธรรมในการแข่งขัน สำหรับการจัดการในการแข่งฟุตบอลต่อไป

Posted in บทความฟุตบอล

สำหรับฟุตบอลแล้ว การยิงจุดโทษ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่มองข้ามไม่ได้เลย เพราะเกมการแข่งขันบางนัด มาจากการยิงจุดโทษ ทำให้นักเตะที่จะมารับหน้าที่ยิงจุดโทษนั้น ถือว่าสำคัญพอสมควร และเป็นสิ่งที่สโมสรฟุตบอลต้องมี โดยวันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะมายกตัวอย่าง จอมสังหารจุดโทษ พรีเมียร์ลีก ว่ามีใครกันบ้าง

จอมสังหารจุดโทษ พรีเมียร์ลีก มีใครกันบ้าง

แม้ว่าฟุตบอลอังกฤษ ในนามทีมชาติ จะไม่ค่อยมีโชค เรื่องการยิงลูกจุดโทษ สักเท่าไหร่ ยิ่งกับทัวร์นาเม้นต์สำคัญต่างๆ โดยล่าสุดที่เจ็บปวดหัวใจของพวกเขา คือการแพ้การดวลจุดโทษให้กับ ทีมชาติอิตาลี ในศึก ฟุตบอลยูโร รอบชิงชนะเลิศ คาสนามเวมบลี่ย์ สังเวียนเหย้าของตนเอง

ทำได้เพียงเป็นแค่รองแชมป์ แต่ตรงนี้ เราจะมาพูดกันถึง จอมสังหารลูกจุดโทษ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยเรียง 5 อันดับ ในการซัดลูกจุดโทษ เริ่มตั้งแต่

  • มาร์ค โนเบิ้ล

เริ่มต้นกันอันดับที่ 5 เป็นทาง มาร์ค โนเบิ้ล กองกลางระดับตำนาน ของสโมสร เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทีมจากกรุงลอนดอน โดยเป็นเด็กปั้นของสโมสร อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน ซึ่งจบฤดูกาล 2021/22 เขาจะประกาศแขวนสตั๊ด โดยสังหารลูกจุดโทษได้ไป 27 ลูก

แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่สามารถเพิ่มสถิติเป็นลูกที่ 28 อย่างสุดเศร้า หลังจากเกมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ปะทะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมา สังหารจุดโทษ ในช่วงท้ายเกม แต่ดันซัดไปติดเซฟ ผู้รักษาประตู แต่ก็ยังมีโอกาส ในการทำประตู จากลูกจุดโทษได้อีก เพราะยังเหลือการแข่งขัน อีกหลายนัด

  • เซร์คิโอ อเกวโร่

ตำนานกองหน้าของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่าง กุน อเกวโร่ กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ โดยอยู่กับทีมมายาวนานเป็นเวลา 10 ปีเต็ม พาทีมกวาดแชมป์ และความสำเร็จ มาอย่างมากมาย พร้อมกับเป็น กองหน้าเบอร์หนึ่งของทีม

ด้วยผลงานอันสุดยอด ยามฟิตลงสนาม โดยรับหน้าที่สังหารลูกจุดโทษ ยิงไปได้ทั้งหมด 27 ประตู โดยปัจจุบัน กำลังค้าแข้งให้กับ บาร์เซโลน่า ยอดทีมในศึกลาลีกา สเปน

  • สตีเว่น เจอร์ราร์ด

ตำนานของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยอดทีมแห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยกองกลางที่เรียกว่า เป็นตำนานเบอร์ต้นๆ ของสโมสรได้เลยทีเดียว โดย เจอร์ราร์ด ที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ สัญชาติอังกฤษ รับใช้สโมสรอย่างยาวนาน

โดยเจ้าตัว รับหน้าที่สังหาร ลูกจุดโทษของทีม โดยทำไปได้ทั้งหมด 32 ประตู ก่อนจะย้ายออกจากทีม ไปในปี 2015 ปัจจุบัน ผันตัวมาเป็นกุนซือ กำลังพา เรนเจอส์ โลดแล่นบนลีกสก็อตแลนด์

  • แฟรงค์ แลมพาร์ด

มิดฟิลด์โคตรโหด ที่มีสถิติยิงประตู เป็นกอบเป็นกำ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แฟรงค์ แลมพาร์ด กองกลางของ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี โดยเจ้าตัวเป็น ตำนานเบอร์หนึ่งของทีม พร้อมเป็นฟันเฟืองสำคัญ พาทีมประสบความสำเร็จมากมาย

ซึ่งเจ้าตัวซัดลูกจุดโทษไปได้ถึง 43 ลูก เรียกได้ว่าคมกริบ ปัจจุบันแขวนสตั๊ด และว่างงาน หลังจากโดน เชลซีทีมรัก ปลดออกจากตำแหน่งในซีซั่นก่อน

  • อลัน เชียร์เรอร์

กองหน้าฉายา “ฮ็อตช็อต” อลัน เชียร์เรอร์ ที่มีดีกรีเป็น ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล ของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แบบที่ยากที่ใครจะเทียบเคียง ค้าแข้งให้กับหลากสโมสรเช่น เซาแธมป์ตัน, แบล็คเบิร์น และ นิวคาสเซิ่ล ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 2006

เจ้าตัวรับหน้าที่สังหารจุดโทษเป็นประจำ และสามารถกระหน่ำไปถึง 56 ประตู เรียกได้ว่า ยิงเยอะอย่างมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีใครที่สามารถ ทำลายสองสถิติสุดโหด อย่าง ดาวซัลโวสูงสุดของลีก และดาวซัลโวสูงสุด ของการยิงลูกจุดโทษ ได้หรือไม่

Posted in บทความฟุตบอล

นักฟุตบอลอาชีพหลายคน มีทั้งตำนาน ซูเปอร์สตาร์ ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตและในปัจจุบันอย่างมากมาย โดยแข้งเหล่านั้น ล้วนทำผลงานอย่างทรงคุณค่า จนได้รับกล่าวขาน ทั้งคำชม คำชื่นชม จนบางรายถึงขั้นมีรูปปั้นเลยทีเดียว ปัจจุบันการถ่ายทอดสดฟุตบอล สามารถรับชมได้ง่ายอย่างมากและสำหรับแฟนบอล จะได้ยลโฉมนักเตะทีมโปรดประจำ แต่จะมีนักเตะบางราย ที่ได้รับการแต่งตั้งจากแฟนบอล ว่าเป็นมหาเทพ ซึ่งไม่ใช่ประโยคที่เป็นคำชมเท่าไหร่ มาดูกันว่า ฉายา มหาเทพ ของนักเตะรายนั้นๆ ทำไมถึงได้รับฉายานี้ เพราะสาเหตุใด พวกเรา วิเคราะห์บอล UFA จะพาไปดูกันครับ

ฉายา มหาเทพ ได้แต่ใดมา

ขอเน้นไปที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลีกฟุตบอลที่ชาวไทยและทั่วโลกให้ความนิยมมากที่สุด เป็นลีกที่แฟนบอล ทั้งขาหลัก ขาจร รวมถึงสายเดิมพัน พนันออนไลน์ ต่างตั้งตารอคอย ที่จะรับชม รับเชียร์ และ เดิมพัน โดยทำให้ที่ผ่านมา ชาวไทย ผูกพันกับพรีเมียร์ลีก อย่างมาก

โดยเฉพาะทีมใหญ่ๆ ที่มีแฟนบอลเชียร์กันอย่างแน่นขนัด ตามขอบจอและผ่านทางการถ่ายทอดสดต่างๆ ซึ่งก็จะได้เห็นนักเตะมากหน้าหลายตา ผ่านสายตากันมาก

ทั้ง นักเตะธรรมดาทั่วไป นักเตะฟอร์มดี นักเตะตัวหลักคนสำคัญของทีม นักเตะซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของลีก และนักเตะที่สามวันดีสี่วันไข้ หรือ มีฟอร์มการเล่นอันแปลกประหลาด ที่เล่นไปเล่นมา โดนแฟนบอลจับจ้อง ซึ่งไม่รู้ว่าจะกร่นด่าหรือชมดี

จนพวกเขาเหล่านั้น ได้รับคำนิยามว่าเป็น มหาเทพ หรือ ท่านมหาเทพ ซึ่งที่มาของประโยคนี้ ก็เกิดจาก นักเตะที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ชอบโชว์ฟอร์มแปลกๆ หนักออกไปทางแย่ แต่เมื่อดูบ่อยๆ เข้า ก็เกิดอาการฮาปนหัวร้อน ว่าแข้งรายนั้น เขาทำอะไรของเขา

และส่วนมาก นักเตะที่จะได้รับฉายานี้ มักจะเป็นแข้งของทีมใหญ่ ซึ่งได้รับการจับตามองอย่างสูงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้เห็น ฟอร์มของนักเตะฉายามหาเทพแบบนี้ ยิ่งเกาหัวกันแกกๆ พร้อมกับงงงวยในการเล่นของพวกเขา ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีแข้งหลายรายที่ได้รับฉายานี้

No.1 จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก แดนนี่ เวลเบ็ค ศูนย์หน้าระดับจักรวาล อดีตเด็กปั้นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สร้างชื่อกันตั้งแต่ตอนนั้น จากจังหวะ เลี้ยงบอลสุดแสนอันงงงวย ยึกๆ ยักๆ พร้อมกับจังหวะจับบอลที่ลั่นจนไม่รู้จะลั่นอย่างไรดี

โดยเขาเป็นกองหน้าที่ชื่นชอบการสร้างเสียงฮา แม้จะเจ้าตัวจะดูมุ่งมั่นอย่างมากก็ตามที โดยกลายเป็นมีมอันโด่งดังไปทั่วโลกฟุตบอลช่วงนึงเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังไม่พอ ยังไปสร้างเสียงฮา ในการย้ายไป อาร์เซนอล

ซึ่งมีคลิปอันโด่งดังในยูทูป รวมจังหวะที่ท่านมหาเทพ โชว์หลอกจับบอลลั่น วืด หรือ ลื่น เพื่อหลอกล่อให้ทีมฝั่งตรงข้ามงงงวย พร้อมเปิดพื้นที่ว่างให้เพื่อนที่ประตูได้ อันที่จริงแล้ว เราพิมพ์เอาฮาไปแบบนั้น

เพราะความเป็นจริง เจ้าตัวกะจะซัดประตูด้วยตัวเอง แต่กลับพลาดและวืดอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม การย้ายไป อาร์เซนอล ทำให้เขามีอาการบาดเจ็บติดตัวเป็นประจำ ทั้งที่ตอนอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าตัวแทบไม่เป็นอะไรเลย

แถมยังมีชื่อวนเวียนอยู่ทีมชุดใหญ่และม้านั่งสำรอง จนแฟนบอลปีศาจแดง ขอร้องว่าช่วยเจ็บหรือไม่มีชื่อทีเถอะ โดย ปัจจุบัน เวลเบ็ค ค้าแข้งให้กับ ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ไปสร้างตำนานบทใหม่ที่นั่นต่อ

ต่อมาก็มีแข้งหลายราย ที่มีคุณสมบัติเป็น มหาเทพ ซึ่งเป็นนักเตะที่โด่งดังไปยันนอกจักรวาล เมื่อช่วงเกือบสิบปีก่อน นั่นก็คือ ท่านลอร์ด นิคลาส เบนท์ดเนอร์ โคตรกองหน้าแดนโคนม ของอาร์เซนอล ที่ประกาศว่าเจ้าตัวจะคว้ารางวัลบัลลงดอร์ให้ได้

ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันดี เจ้าตัวไม่เคยเฉียดรางวัลนี้สักนิดเดียว ทั้งที่เป็นศูนย์หน้าตัวใหญ่และดูเหมือนมีความแข็งแกร่งและความเร็ว แต่เอาเข้าจริงแล้ว เจ้าตัวท่าดีทีเหลว เหมือนมีความมุ่งมั่นไม่มากพอ เลยไปไม่ได้ไกลเท่าที่ควร กลายเป็นโดนแฟนบอลตั้งฉายาและล้อกันไปตามระเบียบ

ส่วนต่อมาก็เป็นทาง ดิว็อค โอริกี้ ซึ่งเอาเข้าจริง แข้งรายนี้ไม่มีคุณสมบัติในการเป็น มหาเทพ เพราะฟอร์มโดยรวม แม้จะไม่ค่อยได้โอกาสลงสนาม แต่เมื่อได้ลงแล้ว ในช่วงหลัง เจ้าตัวทำผลงานได้ไม่ขี้เหร่เลยทีเดียว

แถมยังเป็นตัวโจ๊กเกอร์ ที่พา ลิเวอร์พูล เถลิงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2019 ได้อีกด้วย จากการทำประตูใส่ บาร์เซโลน่า และ ประตูย้ำชัยชนะเหนือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คว้าแชมป์ถ้วยหูใหญ่ไปครอง

นอกจากนี้ เมื่อได้รับโอกาสลงสนาม แม้จะไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมกับเกม แต่จังหวะจบสกอร์ถือว่าทำได้ดี ดังนั้น หากแฟนบอล เดอะ ค็อปส์ คิดว่า ทีมตัวเองมีมหาเทพ บอกเลยว่าคิดผิด ซึ่งดีแล้วที่ไม่มีมหาเทพในทีม ดีแล้วล่ะ

ส่วนทีมที่น่าจะมีตำแหน่งมหาเทพในทีมมากมาย ก็ต้องย้อนไปในช่วง 10 กว่าปีก่อน นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เรียกว่ามีมหาเทพหลายราย ถึงขนาดที่แฟนบอล เร้ด เดวิลล์ ขนานนามให้พวกเขาเป็น จตุรเทพเลยทีเดียว

ทั้ง เบเบ้, เวส บราวน์, มิคาเอล ซิลแวส, นานี่ เป็นต้น ซึ่งมองตามผืนผ้า ในการทำทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขามักจะมีแผนการเล่นหลักๆ อยู่แล้ว เพียงแต่บางครั้ง นักเตะตัวหลักเจอปัญหาอาการบาดเจ็บ เขาจึงปรับเปลี่ยนพันธุกรรม ดึงแข้งสำรองหรือแข้งดาวรุ่ง มาเปลี่ยนบทบาทใหม่ กลายเป็นจับฉ่ายให้กับทีมหลายตำแหน่ง

ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับฟอร์มในสนาม ทีมสามารถเก็บผลการแข่งขันที่ดีได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ผลเสียก็ส่งตรงต่อนักเตะ ที่ได้เล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดและงงงวยว่าตัวเองจะเล่นอย่างไร จะปรับมาเล่นแบบไหนดี จนไปได้ไม่สุดสักทางนี่เอง ถ้าในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็จะมีประมาณนี้

แต่ถ้าข้ามมาในไทยลีก ก็มีมหาเทพอยู่เช่นกัน จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก กีรติอุส หรือ กีรติ เขียวสมบัติ ศูนย์หน้าร่างยักษ์อดีตทีมชาติไทย ซึ่งเอาเข้าจริงเขาน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่แน่นอนว่า แสงสีเสียง สิ่งบันเทิงต่างๆ เป็นปัญหาสำหรับแข้งที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งของทีมชาติไทยตลอด แต่ปัจจุบันเขาก็ยังทำผลงานได้พอตัว อยู่ในช่วงปลายค้าแข้ง

ตามมาด้วยอีกรายนึง ที่อีกไม่นานก็จะได้รับตำแหน่ง มหาเทพ เต็มตัว นั่นก็คือ ปีโป้ สิโรจน์ ฉัตรทอง ศูนย์หน้าร่างใหญ่ชาวไทย ที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งทว่าล้มง๊ายง่าย ไม่แข็งแรงเหมือนกับร่างกายที่เขามี รวมถึงดูเหมือนเบสิคพื้นฐาน ยังไม่ค่อยเวิร์คเท่าที่ควร มีจังหวะ เก้ๆ กังๆ ให้เป็นประจำ จนโดนแฟนบอลขนานนามว่าให้เป็นอีกหนึ่ง มหาเทพ อีกราย

สุดท้ายแล้วตำแหน่ง มหาเทพ ในความเข้าใจของทีมงาน เชื่อว่า ไม่ได้เป็นคำที่บูลลี่หรืออะไรแต่อย่างใด เชื่อว่าแฟนบอลทุกคนพร้อมเอาใจช่วยให้แข้งของสโมสรที่ตัวเองรัก โชว์ฟอร์มกันให้ได้ดีทุกราย แต่อาจจะแตกต่างกับแฟนบอลทีมอื่น ที่รอหัวเราะเยาะอยู่ก็เป็นได้ เพราะเป็นเป้าให้พวกเขาโจมตีได้โดยง่ายนั่นเอง

Posted in บทความฟุตบอล

เกมฟุตบอลจะไม่สนุกเลย หากไม่มีผู้รับชม แม้ว่าในสนามหรือนอกสนาม ดั่งเช่นที่เราๆ ท่านๆ เห็นกันมาจากการแข่งขันฟุตบอล ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ไม่สามารถมี แฟนบอลในสนาม เพราะไม่อนุญาตให้ใคร เข้ามาชมเกมในสนามได้เลย รวมถึงจำกัดจำนวนทีมงานของสโมสรอีกต่างหาก นักบอลเตะกันเหงาๆ เลยทีเดียว

ดังนั้น วิเคราะห์บอล UFA ชวนเพื่อนๆ ไปดูกันว่า แฟนบอลในสนาม มีส่วนกับผลการแข่งขันหรือไม่อย่างไรบ้าง

แฟนบอลในสนาม มีส่วนกับผลการแข่งขันหรือไม่

ไม่ต้องนึกภาพก็ดูออก สนามของทีมยักษ์ใหญ่ ในยุโรปอย่าง แอนฟิลด์ ของ ลิเวอร์พูล, โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ คัมป์นู ของ บาร์เซโลน่า ที่ไม่มีแฟนบอลเข้าชมสนาม บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงเช่นไร

ไม่มีเสียงเชียร์คอยกระตุ้นนักเตะ ไม่มีเสียงโห่ กดดันใส่ทีมตรงข้าม บรรยากาศที่น่าดูเกรงขามไม่มีเลย ขาดมนต์ขลังไปอย่างมาก ทั้งที่สนามที่ยกตัวอย่างมานั้น ล้วนเป็นสนามที่เรียกว่า เป็นนรกของทีมเยือนอย่างมาก

ทั้งบรรยากาศต่างๆ และ เสียงเชียร์ตลอดทั้งเกม ที่กองเชียร์ทีมเหย้า พร้อมกดดัน และพร้อมเชียร์ให้กับทีมรักของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่า มีส่วนพอสมควรเลย ที่จะช่วยเรื่องของสภาพจิตใจนักเตะ ให้มีความฮึกเหิมและเป็นกำลังใจให้พวกเขา เค้นฟอร์ม ทำผลงานได้ดี ในการต่อสู้กับทีมตรงข้าม

ซึ่งสังเกตุได้เลยว่า ขนาดทีมเล็ก แต่ได้เล่นในบ้าน ยังทำผลงานได้อย่างสุดยอด ไม่แพ้ให้กับทีมใหญ่ ส่วนนึงนอกจากความสามารถของนักเตะ การวางหมากของกุนซือ นั่นก็คือ เสียงเชียร์ของแฟนบอล ที่พร้อมเอาใจช่วย ชมช่วยเชียร์ ตลอดทั้งเกม จนสิ้นสุดเสียงนกหวีด ซึ่งเรียกว่าเหตุการณ์สุดคลาสสิคก็เป็นได้

เพราะทีมเล็กๆ ที่มีแฟนบอลมาเชียร์ในบ้านอย่างเหนียวแน่น และพร้อมตะโกนเชียร์สุดเสียง มักทำผลงานในบ้านได้ดี พลิกล็อคสุดช็อคเอาชนะทีมใหญ่ได้เป็นประจำ นี่ก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่ง

แต่หากทีมใหญ่ โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หรือจะเป็น บรรดาสโมสรเบอร์ต้นของประเทศตุรกี อย่าง เฟเนร์บาห์เช่, กาลาตาซาลาย หรือ เบซิคตัส ยามเล่นในบ้าน บอกได้เลยว่า บรรยากาศชวนขนหัวลุก ยิ่งเป็นการเจอกับทีมใหญ่ด้วยกัน

สโมสรที่ยกตัวอย่างมานี้ แฟนบอลแน่นขนัด พร้อมส่งเสียงเชียร์กดดัน ที่แบบกระหึ่มดังกึกก้องลั่นการถ่ายทอดสด เรียกได้ว่า ทางทีมงานถ่ายทอดสด ต้องลดเสียงกันเลยทีเดียว สิ่งนี้เป็นบลัฟสำคัญ เป็นพลังใจ ที่ส่งต่อให้สู่นักเตะของทีม ในการรวบรวมพลังและฝีเท้า ทำผลงานให้ได้รับชัยชนะ เพื่อสโมสรเพื่อแฟนบอลของพวกเขา

แน่นอนเลยว่า หากสโมสรไม่มีแฟนบอล มันก็ไม่ใช่สโมสร ต่อให้มีการจัดการที่ดี มีความสามารถ มีเงินขนาดไหน แต่บารมีและความศรัทธาต่อแฟนบอล คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ความผูกพัน ความรัก ที่แฟนบอลมีต่อสโมสร นั่นเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้

ดังนั้น นักเตะก็ควรทำผลงานให้ดี เพื่อตอบแทนสโมสร และแฟนบอล ไม่ใช่เอาแต่มาซ้อม มาแข่ง ไปวันๆ แล้วรอรับเงินสบายใจเฉิบ แต่แฟนบอลหลายคน เป็นชนชั้นล่าง หรือชนชั้นกลาง ที่กว่าจะหาเงินมาซื้อตั๋วเข้าชมเกม ก็แทบเลือดตากระเด็น

แต่ทว่า ก็มีบางสโมสร ที่แฟนบอลเหมือนมาดูเป็นแฟชั่น เหมือนมาเป็นทัวร์ มาเป็นคณะ และพร้อมจะโห่เสียงดังกึกก้อง เมื่อนักเตะในทีมสักคน ทำผลงานห่วยแตกในเกมนั้น ทั้งที่ควรจะเอาใจช่วย เพราะแค่เสียงเชียร์กับเสียงด่า

สำหรับนักเตะหลายคน ถือว่ามีผลกระทบอย่างมาก เล่นไม่ดี ก็ด่ากราดทั้งต่อหน้า และในโลกออนไลน์ ซึ่งก็ไม่ได้สร้างสรรค์เท่าไหร่ ควรจะเอาแต่พอดี อยู่ในขอบเขต ไม่ใช่ด่ากราดลามปาม ไปกระทั่งบุคคลในครอบครัว เชื้อชาติ ศาสนา

ซึ่งตรงนี้ทีมงานขอให้แฟนบอลทุกท่าน มีสติก่อนจะพิมพ์อะไรลงไป เพราะสิ่งนั้น คุณอาจจะฆ่าคนทางอ้อมได้เลย ไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่าคำด่าที่มากเกินไป เพราะเอาจริงๆ แล้ว แม้นักเตะจะได้รับค่าเหนื่อยมหาศาล

แต่อาชีพการค้าแข้ง ของพวกเขาแสนสั้น อาจจะเจออาการบาดเจ็บ ที่หนักหน่วง บางวันอาจจะอารมณ์ไม่ดี หรือมีปัญหาด้านๆ อื่นๆ ซึ่งก็เหมือนกับเราๆ ท่านๆ ทั่วไป ที่ทุกวันต่างเจออะไรมาไม่เหมือนกัน

ตรงนี้อยากฝากไว้ครับ ไม่ใช่แค่อาชีพฟุุตบอลอย่างเดียว อาชีพอื่นๆ ก็เช่นกัน บางทีพวกเขาก็ต้องการกำลังใจ เสียงเชียร์ไม่ต้องมากมายเหมือนในสนามฟุตบอลก็ได้

แต่บางอาชีพ ทางทีมงานก็อยากจะขอให้ทุกท่าน ช่วยกันด่า ช่วยกันไล่ ให้ออกๆ ไปซะ แต่อย่างไรก็อยู่ในขอบเขตที่สมควร แต่พอดี ถ้าเน้นแบบสร้างสรรค์ได้ยิ่งดี แต่ทว่า จะด่า จะราด จะไล่ อย่างไร ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะถึงด่ากันถึงขนาดไหน ก็ยังไม่ยอมออกไปเสียที

Posted in บทความฟุตบอล

ลีกคัพ หรือ รายการฟุตบอลถ้วยที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ได้จัดการแข่งขันขึ้น ในปี ค.ส. 1960 โดยรายการนี้ ยังมีการแข่งขันจนมาถึงปัจจุบัน แต่ก็เป็นรายการที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด แตกต่างจาก พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ คัพ แต่ปัจจุบันใช้ชื่อว่า คาราบาว คัพ ทำให้หลายคนอาจจะงง ว่า คาราบาว คัพ คืออะไร

โดย วิเคราะห์บอล UFA พามาดูกันว่า รายการ ลีก คัพ หรือ คาราบาว คัพ ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน

คาราบาว คัพ คืออะไร เกี่ยวอะไรกับวง คาราบาว หรือไม่

ลีก คัพ จากที่เกริ่นไว้ด้านบาน เป็นรายการที่แข่งขันมาเป็นเวลารวม 61 ปีเข้ามาแล้ว โดยปัจจุบัน ใช้ชื่อว่า คาราบาว คัพ ซึ่ง คาราบาวแดง ที่เป็นบริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังสัญชาติไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของรายการนี้

ได้รับสิทธิ์ในการได้ใส่ชื่อรายการแข่งขันนี้ จากที่ ปกติจะใช้ชื่อ อีเอฟแอล คัพ หรือ ลีก คัพ รวมถึง ได้ใช้สีของแบรนด์ติดในลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันถ้วยนี้ ตามด้วย โบว์แดงพร้อมแบรนด์คาราบาวที่ได้ติดบริเวนหูของถ้วยรายการนี้และได้ติดป้ายต่างๆ ในสนามของรายการนี้ทุกสนามที่ใช้ในการแข่งขัน

โดยรายการ คาราบาว คัพ จะมี 92 ทีม ที่ได้แข่งขันในรายการนี้ โดยมีทั้ง 20 ทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ 72 ทีมจากลีกล่างลงไป แต่ไม่นับรวมทีมนอกลีก โดยการแข่งขัน จะเป็นระบบน็อคเอ้าท์ ใครชนะเข้ารอบ ใครแพ้ตกรอบ

รอบแรกมาจนถึงรอบที่ 5 แข่งแบบนัดเดียวรู้ผล โดยถ้าหากเสมอ ก็จะมีการต่อเวลาพิเศษ ถ้าหากยังไม่มีใครชนะอีก ก็จะทำการตัดสินด้วยการดวลลูกจุดโทษ ส่วนรอบรองชนะเลิศ จะเป็นการแข่งขันแบบเหย้าและเยือน ทีมไหนทำผลสกอร์สองนัดได้มากกว่า ก็จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

ส่วนนัดชิงชนะเลิศ จะแข่งกันแบบนัดเดียวรู้ผล หากเสมอกันในเวลาปกติ ก็จะทำการต่อเวลาพิเศษและถ้าหากยังไม่มีทีมไหนชนะได้ ก็จะต้องตัดสินด้วยการดวลลูกจุดโทษ โดยทีมแชมป์นอกจากจะได้ถ้วยแชมป์และเงินรางวัลไปครอง ก็จะได้สิทธิ์ในการแข่งขันรายการศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบที่ 3

ส่วนทำเนียบทีมแชมป์รายการนี้ เป็น ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสองทีมที่ได้แชมป์มากที่สุด โดยได้แชมป์ 8 สมัยเท่ากัน โดยรายการนี้ในปัจจุบัน ได้รับความนิยมน้อยและทีมต่างๆ ที่ได้ทำการแข่งขัน ก็จะไม่ใส่ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดในการลงสนาม

มักจะให้โอกาสแข้งตัวสำรองและแข้งดาวรุ่ง ให้มีโอกาสได้สัมผัสเกมการลงสนามเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกว่าจะใช้ตัวผู้เล่นชุดหลักๆ ก็ปาเข้าไปในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ เลยทำให้ไม่ค่อยได้รับความน่าสนใจมากเท่าไหร่ แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

เพราะยังมีรายการอื่นที่สำคัญกว่า เช่นโปรแกรมลีก รายการเอฟ เอ คัพ หรือสโมสรที่ได้เล่นในรายการยุโรป ทำให้มีรายการแข่งขันมากเกินไป ทีมก็ต้องหมุนเวียนสับเปลี่ยนผู้เล่น ให้เพียงพอในการลงบู๊ได้ทุกรายการการแข่งขัน

ส่วนสปอนเซอร์ปัจจุบันอย่าง คาราบาว คัพ ได้เซ็นสัญญาเป็นสปอนเซอร์หลักในปี 2017 จนถึงปัจจุบัน โดยก่อนหน้านี้ ตั้งแต่รายการนี้เริ่มขึ้นในปี ค.ส. 1960 จนถึง 1982 ยังใช้ชื่อรายการลีก คัพ ยังไม่มีสปอนเซอร์

ต่อมาปี 1982 ถึง 1986 คณะกรรมการนม ได้เป็นสปอนเซอร์ โดยใช้ชื่รายการ มิลค์ คัพ ต่อมาในปีที่ 1986 และ 1990 บริษัท ลิตเติลวูดส์ ได้เป็นสปอนเซอร์ โดยใช้ รายการ ลิตเติลวูดคัพ ตามด้วยปี 1990 ถึง 1992 บริษัท รัมเบโลวส์ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ โดยใช้ชื่อรายการว่า รัมเบโลวส์ คัพ

ต่อมาปี 1992 ถึง 1998 ทางบริษัท โคคา โคล่า มาเป็นสปอนเซอร์ ใช้รายการชื่อว่า โคคา โคล่า คัพ ต่อมาปี 1998 ถึง 2003 เวิร์ธทิงตัน บริษัทเครื่องดื่ม ได้มาเป็นสปอนเซอร์ ใช้รายการ เวิร์ธทิงตัน คัพ

ตามด้วย ปี 2003 ถึง 2012 นี่เป็นชื่อที่คุ้นหูแฟนบอลมากที่สุด โดย คาร์ลิ่ง บริษัทเครื่องดื่ม ได้เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ โดยใช้รายการ คาร์ลิ่ง คัพ ซึ่งถือว่าเป็นสปอนเซอร์รายการนี้ยาวนานมากที่สุด

ต่อมาปี 2012 ถึง 2016 แคปิตอล วัน บริษัททางด้านการเงิน ได้เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ โดยใช้ชื่อว่า แคปิตอล วัน คัพ ต่อมาปี 2016 ถึง 2017 ไม่มีสปอนเซอร์ โดยใช้ชื่อว่า อีเอฟแอล คัพ และ ปัจจุบันก็มาเป็น คาราบาว คัพ นั่นเอง

Posted in บทความฟุตบอล