ไฮบิวรี่ คือสนามเหย้าเก่าของ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ซึ่งสนามนี้ถูกเปิดใช้มาตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 1913 จนปิดไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2006 เนื่องจาก อาร์เซน่อล สร้างสนามใหม่ โดยใช้สนามเหย้าแห่งใหม่ ของพวกเค้า ที่ชื่อว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มาจนปัจจุบัน

วิเคราะห์บอล UFA พามาดูกันว่า ทำไม อาร์เซนอล ถึงเลือกที่จะสร้างสนามใหม่ โดยที่ตัดสินใจ ไม่เลือกที่จะต่อเติม สนามเหย้าแห่งเก่า อย่าง ไฮบิวรี่ ที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง และเป็นส่วนสำคัญ ที่พาทีมประสบความสำเร็จ แบบที่หาไม่ได้ ในปัจจุบันอีกแล้ว

ทำไม อาร์เซน่อล สร้างสนามใหม่ และเลือกที่จะไม่ต่อเติม ไฮบิวรี่

สนาม ไฮบิวรี่ คือรังเหย้าเก่าของ สโมสรอาร์เซนอล ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนเหนือ คือสนามที่สุดคลาสสิค สนามหนึ่งแห่งประเทศอังกฤษ โดยสนามนี้ ตั้งอยู่แถบไฮบิวรี่ โดยมีความจุประมาณ 38,000 ที่นั่ง

สาเหตุหลักๆ ที่ สนามแห่งนี้ถึงต้องทุบทิ้งและทางสโมสรอาร์เซนอล มีความต้องการย้ายไปสร้างสนามใหม่ เนื่องจากพื้นที่ตรงนั้นไม่สามารถต่อเติมได้แล้วนั่นเอง โดยเป็นพื้นที่ใกล้ชุมชน มากเกินไป และความสะดวกต่างๆ เรียกได้ว่าไม่พร้อมเลย

จะขยับขยายต่อเติม ก็ไม่ได้แล้ว เพราะสนามมีขนาดเล็ก และอายุเก่าแก่เกินไป ดูจากแผนผังแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้มากอีก ดังนั้นทางสโมสร จึงต้องหาที่ดินผืนใหม่ ที่ใกล้กับไฮบิวรี่ให้ได้มากที่สุด โดยได้พื้นที่ดินที่กว้าง บริเวณแอชเบอร์ตันโกรฟ นั่นเอง

ซึ่งการสร้างสนามเ อมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็เพื่อต้องการยกระดับทีม และเพื่อรองรับขนาดผู้ชม ของแฟนบอลที่เพิ่มมากขึ้น เพราะในช่วงยุคต้นปี 2000 อาร์เซนอล ที่เป็นทีมหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คว้าแชมป์มากมาย รวมถึงสร้างตำนานไร้พ่าย

โดยสนามใหม่ของ อาร์เซนอล นามว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มีความจุ 60,355 ซึ่งเป็นเก้าอี้นั่งแทบทั้งหมด โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2004 ตอนแรกจะใช้ชื่อสนามว่า แอชเบอร์ตันโกรฟ

แต่ทาง สายการบินเอมิเรตส์ ที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ในการสร้างสนามแห่งนี้ ก็เลยได้สิทธิ์ชื่อสนาม จนเป็นที่มาของชื่อ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นั่นเอง โดยเริ่มเปิดใช้ในฤดูกาล 2006/07 จนถึงปัจจุบัน

สนามแห่งใหม่ มีการเดินทาง ที่สะดวกกว่าเดิม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะความจุ ของแฟนบอลที่สามารถทำให้แฟนๆ เข้ามาชมเกมในสนาม มากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วย ค่าตั๋วที่แพงระยิบ ซึ่งแพงมากที่สุด เป็นอันดับที่ 1 ของลีก

แต่สิ่งที่น่าสนใจ เพราะหลังจาก อาร์เซนอล มาใช้สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มนต์ขลังเก่าๆ จาก สนามไฮบิวรี่ ที่เรียกว่าเป็นนรกของทีมเยือน เพราะขนาดสนาม ที่แออัดสุดๆ แฟนบอลเรียกได้ว่า อยู่ติดขอบสนาม พร้อมโห่กดดันตลอดทั้งเกม เสียงเชียร์อันกึกก้อง

ทำให้หลายทีม ที่มาเยือนเรียกว่า สั่นประสาทได้ดีเลยทีเดียว แต่กับสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ที่เรียกได้ว่า หรูหราทันสมัย ในช่วงนั้น บรรยากาศเก่าๆ กลับหายไป กลายเป็นว่า แฟนบอลส่วนใหญ่ มาชมเกมเฉยๆ เสียงเชียร์ที่ดังน้อยลง พื้นที่ที่ห่างไกล กับขอบสนาม

ตรงนี้พอเข้าใจได้ เพราะต้องเป็นการรักษาความปลอดภัย ซึ่งทำให้บรรยากาศของ อาร์เซนอล เปลี่ยนไปจากเดิม ดูไม่ขลังเหมือนเดิมอย่างแน่นอน ถ้าหากใครรับชม อาร์เซนอล ยามเล่นที่ ไฮบิวรี่ ย่อมรู้สึกแบบเดียวกัน

ปัจจุบัน สนาม ไฮบิวรี่ ถูกปรับปรุงให้เป็น ไฮบิวรี่ สแควร์ เป็นที่พักหรูกลางชุมชน ปรับปรุงแบบใหม่อย่างสวยงาม โดยเปิดขายกันให้ซื้อไปอยู่อาศัย ซึ่งก็เป็นแฟนบอล รวมถึงนักฟุตบอล ระดับตำนานของทีม ซื้อไว้อย่างแน่นขนัด

สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนกัน ไปตามกาลเวลา โดยก็ต้องทำให้ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น อย่างเช่น สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ที่ปรับปรุงสร้างใหม่ ได้อย่างสวยงาม เพื่อความสะดวกสบาย ของแฟนบอล ที่เข้าชมในสนาม และเข้ามาเชียร์ให้ได้มากที่สุด เพราะหากไม่มีแฟนบอล สโมสรก็อยู่ไม่ได้ และก็ไม่ใช่สโมสร นั่นเอง

Posted in บทความฟุตบอล

นับวัน “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ทีมที่เคยเป็นแชมป์ไร้พ่ายในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาล 2003/04 กลับกลายเป็นทีมที่หลุดวงโคจรจากการลุ้นแชมป์ ใกล้จะกลายเป็นทีมกลางตาราง มากขึ้นทุกวัน ผลงานในสนามก็คือส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญอีกอย่างคือนโยบายของสโมสร ซึ่งนับตั้งแต่ที่ สแตน โครเอนเก้ เศรษฐีจากอเมริกาได้ก้าวเข้ามาสู่ทีม ผลงานมีแต่แย่ลง

ซึ่งทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพามาดูวีรกรรมของเขา ว่าทำไมแฟนบอล เดอะ กันเนอร์ส ถึงเกลียดชัง แบบสุดๆ

สแตน โครเอนเก้ มีวีรกรรมอะไรบ้าง ทำไมแฟนอาร์เซน่อลถึงยี้

สแตน โครเอนเก้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของสโมสรอาร์เซนอล ในปัจจุบัน โดยนักธุรกิจสัญชาติอเมริกา เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นสโมสรในปี 2007 ก่อนที่จะเริ่มเจรจากวาดซื้อหุ้น จากผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ สะสมมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้น ที่ใหญ่ที่สุดของทีม

โดยคำกล่าว จากหลายคนที่ยอมขายหุ้นให้กับ โครเอนเก้ เพราะเขาบอกว่า ต้องการพัฒนาสโมสรให้ก้าวไปสู่จุดที่ยิ่งใหญ่ และดีขึ้นมากกว่าเดิมให้ได้ แต่ทว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นเลย

เพราะนับตั้งแต่ปี 2007 ที่เขาเริ่มซื้อหุ้นสโมสร ทีมไม่เคยได้แชมป์อะไรเลย จนกระทั่งมาได้แชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2013/14 แต่กับแชมป์ลีก อาร์เซนอล ไม่เคยไปถึงดวงดาว ครั้งล่าสุดที่ได้แชมป์ลีก ต้องย้อนไปปี 2003/04 ซึ่งเป็นแชมป์ไร้พ่าย นู่นเลย

จนในปี 2018 อลิชเชอร์ อุสมานอฟ อีกหนึ่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คงจะเบื่อหน่ายเต็มทน เลยตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดที่มี ทำให้ โครเอนเก้ กลายเป็นเจ้าของสโมสรไปโดยปริยาย

จากปกติจะมีธรรมเนียมที่แต่ละปี จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น และสามารถให้แฟนบอล ส่งตัวแทนเข้ามาประชุมได้ด้วย แต่ทว่าเมื่อ โครเอนเก้ เป็นเจ้าของทีมแบบเบ็ดเสร็จ เขาไม่ยอมให้มีการประชุมเกิดขึ้น และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย นับตั้งแต่นั้นมา

ส่วนวีรกรรมต่างๆ ที่แฟนบอลไอ้ปืนใหญ่ ต้องกอดความเจ็บช้ำ เห็นทีมรักตกต่ำลงทุกปี นั่นก็คือการไม่ยอมทุ่มงบประมาณ ให้เสริมทัพเพื่อสู้กับทีมอื่นๆ

โดยช่วงแรกนั้นยังมี อาร์แซน เวงเกอร์ กุนซือเลือดน้ำหอม ที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน จำต้องขายนักเตะกิน เพราะไม่ได้รับเงินสนับสนุนจาก โครเอนเก้ แม้แต่น้อย ซ้ำร้ายต้องจ่ายหนี้ สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทำให้ต้องควบคุมบัญชีการเงิน ไม่ให้มีตัวแดงมากเกินไป

ดังนั้นเมื่อขายนักเตะที่เก่งกาจออกไป ผลงานทีมก็แกว่ง ตัวที่เสริมมาส่วนมากก็จะเป็นดาวรุ่ง แข้งเกรดบี และแข้งพอมีประสบการณ์ ซึ่งไม่มีราคาที่สูงอะไร

ทำให้ผลงานของทีม จากกลายเป็นลุ้นแชมป์ ต้องมาลุ้นจบท็อปโฟร์ให้ได้ในแต่ละปี เพื่อคว้าสิทธิ์ไปลุย รายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เอาค่าลิขสิทธิ์มาหมุนมาบริหารการเงิน โดยไม่มีการสนับสนุนจาก โครเอนเก้ แต่อย่างใด

จากที่เจ้าตัว เคยหว่านล้อมผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนอื่นๆ ให้ยอมขายหุ้นให้กับเขา เพราะโปรเจ็คที่เขาป้อนคำหวานใส่ ให้แต่ละคนยอมขายหุ้นให้เขา กลับไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งกลายเป็นหน้ามือเป็นหลังเท้า

เพราะ โครเอนเก้ กลับพูดว่า เขาไม่ได้ซื้ออาร์เซนอลมาเพื่อคว้าแชมป์ ทำให้แฟนบอล เกลียดชังเขาอย่างอัตโนมัติ และไล่ด่าให้ขายทีมแทบทุกปี

เชื่อหรือไม่ว่า กำไรที่เขาได้มาจากอาร์เซนอล เขาก็หมุนไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ที่เขาเป็นเจ้าของ หรือทุ่มเทกับสิ่งอื่นมากกว่า เช่น ศึกคนชนคน อเมริกันฟุตบอล ที่เขาพร้อมทุ่มเงินมหาศาลให้กับ แอลเอ แรมส์ ทีมที่เขาเป็นเจ้าของ

แต่กับ อาร์เซนอล แล้ว เขาไม่เคยเหลียวแล นานๆ ทีจะบินมาชมเกม ส่วนมากจะเป็นนัดชิงชนะเลิศ แต่ปัจจุบันเขาให้ลูกชาย จอร์จ โครเอนเก้ มาดูแลภาพรวมของสโมสรแทน และเพิ่งจะให้เม็ดเงินในการทุ่มซื้อมากขึ้น

แต่มันเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากการที่ อาร์แซน เวงเกอร์ ถูกกดดันให้ลาออกจากทีมในปี 2018 ซึ่งถ้าเอาเข้าจริง อาร์เซนอล เพิ่งจะทุ่มซื้อนักเตะหนักๆ ก็ช่วงหลังจากปี 2018 นั่นเอง

ลองคิดดูว่า เป็นเวลาร่วม 10 ปีที่เจ้าของสโมสร ปล่อยให้ อาร์เซนอล จัดการตนเอง ตัวเองมีหน้าที่สูบเงินเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้รักฟุตบอล รักทีมอย่างจริงจัง แล้วแบบนี้จะให้แฟนบอลรักได้อย่างไร

แน่นอนว่าทุกวันนี้มีแต่คนเกลียด ถ้านโยบายสโมสรดี มีความรักและทุ่มเทอย่างเต็มที่ อะไรมันก็ดีกว่านี้ ตอนนี้ระบบรวนกันไปหมดแล้ว

อาร์เซนอล จากทีมที่เคยลุ้นแชมป์ กลายเป็นทีมกลางตารางแทบจะเต็มตัว ไม่มีนักเตะระดับท็อปสนใจมาค้าแข้ง ชุดนักเตะตัวหลักกลายเป็นหลักเกรดบี และดาวรุ่งที่รอวันเจริญเติบโตเท่านั้น น่าหดหู่ใจไม่น้อย

แถม โครเอนเก้ ยังไม่มีแผนขายสโมสรแต่อย่างใดอีกด้วย ก็คงต้องทนกันต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้แฟนบอล เดอะ กันเนอร์ส หวังว่าไม่นาน จะได้พบทางสว่างกับเขาบ้างเสียที

Posted in บทความฟุตบอล

อาร์แซน เวนเกอร์ คือยอดกุนซือสัญชาติฝรั่งเศส ที่เขาเป็นกุนซือที่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับระดับโลก ในการพา “ปืนใหญ่อาร์เซนอล เฉิดฉาย คว้าแชมป์ได้อย่างมากมายมาประดับสโมสร นอกจากนี้ในตำแหน่งผู้จัดการทีม ในการบริหารจัดการเรื่องภายนอกสโมสรต่างๆ เช่นการมีส่วนร่วมในการพูดคุยกับบริหาร ผลักดันการสร้างสนามใหม่ รวมถึงการมีส่วนสำคัญในการซื้อ-ขาย ต่างๆ โดยอาศัยการ ซื้อถูกขายแพง ทำผลกำไรให้สโมสรมากมาย

โดยวันนี้ วิเคราะห์บอล UFA จะมาพูดถึง การซื้อ-ขาย ของ อาร์เซน เวนเกอร์ ว่าส่งผลดี-ผลเสีย กับ อาร์เซน่อล อย่างไรบ้าง

ซื้อถูกขายแพง ของ อาร์แซน เวนเกอร์

อ่านหัวข้อของบทความนี้ อาจจะยังสงสัย ว่าทำไม มันต้องเป็นหัวข้อแบบนี้ เรามีคำตอบให้ครับ แต่ขอเกริ่นเรื่องราวกันก่อน อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาคุมทีม อาร์เซน่อล ในปี ค.ส. 1996 – 2018 รวมเวลาถึง 22 ปี

โดยช่วงเวลาเหล่านั้น เวนเกอร์ ได้สรรค์สร้างให้ ไอ้ปืนใหญ่ คว้าแชมป์อย่างมากมายและทำให้มีชื่อเสียงกระฉ่อนไประดับโลก รวมถึงเป็นเจ้าแรกที่นำสไตล์การเล่นต่อบอล แบบ เท้าสู่เท้า นำเข้ามาสู่พรีเมียร์ลีก ตาถึงในการเลือก หาผู้เล่นเข้ามาปลุกปั้น

ซึ่งนักเตะหลายคนผ่านการปลุกปั้นจากเข้า ส่วนมากจะโด่งดัง แจ้งเกิด เป็นแข้งระดับโลกได้หลายราย นำแข้งฝีเท้าดีจากต่างประเทศ ตบเท้าเข้ามาเล่นในอังกฤษ ซึ่งบางทีชุดผู้เล่นตัวจริงของเขา มีนักเตะอังกฤษเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

เพราะเจ้าตัวชอบไปแต๊บเด็กเยาวชนฝีเท้าดี เข้ามาอเคเดมี่กันแต่อ้อนแต่ออด นำมาบ่มเพาะจนเห็นแวว ดึงขึ้นมาทีมชุดใหญ่ได้หลายราย ซึ่งนักเตะในคาถาของเขา พร้อมกันช่วยสร้างฟอร์มตื่นตาตื่นใจ ให้ทุกทีมประหลาดใจ รวมถึงให้ความสนใจ ที่จะดึงนักเตะเหล่านั้นไปร่วมทีม

ซึ่ง เวนเกอร์ เป็นคนที่ไม่ค่อยหวงของอยู่แล้ว หากจะรั้งไว้ ก็มักทำสัญญาใจกันว่า อยู่ช่วยกันสักปี แล้วพี่จะปล่อยไป อะไรทำนองนั้น ซึ่งสอดคล้องกับบทความของเรานี่เอง นี่มันเป็นดาบสองคมชัดๆ

แม้ว่า อาร์แซน เวนเกอร์ และทีมแมวมองของเขา ที่พยายามเสาะหานักเตะ ที่เข้าตา น่าปลุกปั้น หรือ แข้งโนเนม ที่เข้ากับแผนการเล่นของเขา ซื้อตัวมาอยู่กับทีม แต่เมื่อเวลาที่นักเตะเหล่านั้นได้แจ้งเกิด พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้อย่างประทับใจ จนยึดเป็นตัวหลัก เป็นแข้งคนสำคัญของทีมในระยะยาว

แต่เมื่อถึงเวลาที่ทีมอื่นให้ความสนใจอย่างจริงจัง หยิบยื่นข้อเสนอต่างๆ มาให้ นักเตะ และสโมสรได้พิจารณาแล้ว ส่วนมาก นักเตะเหล่านั้น จะได้ย้ายทีมสมใจอยาก แถมราคาที่ขายนั้น อาร์เซนอล ได้กำไรมหาศาลเลยทีเดียว

โดยเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ อาร์เซน่อล ได้สนามรังเหย้าใหม่มาแล้วอย่างที่ใครคิด ขอย้อนไปตอนที่ เวนเกอร์ ยังคุมทีมได้ไม่นาน แต่พาทีมประสบความสำเร็จอย่างมาก นักเตะหลายรายอย่าง นิโคล่า อเนลก้า ที่ตอนนั้นเลือดร้อนอยากพิสูจน์ตัวเอง เมื่อ เรอัล มาดริด ยื่นข้อเสนอที่ตื่นตาตื่นใจ ทางสโมสรก็ไม่รอช้าที่จะปล่อยตัว

หรือจะเป็น เอมมานูเอล เปอตีต์ และ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส แพ็คคู่ใส่กล่องไปให้ บาร์เซโลน่า ซึ่งช่วงนั้นก็มีอะไรแบบนี้แล้ว ต่อมาอย่างที่กราบกันดี หลังจากสโมสรได้สร้างสนามใหม่ ภาระค่าใช้งาน ในการกู้ยืมเงินมาทำสนาม ก็มีมากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขา ต้องปั้นนักเตะขายกิน ซึ่งเป็นวลีที่แฟนบอลต่างนิยมให้กับพวกเขา

ทีนี้มันเป็นดาบสองคมอย่างไร อันดับแรกเลย นักเตะเก่งๆ ทำผลงานได้ดีกับทีม พอจบฤดูกาล ขายไป 2-3 ราย ทีมก็มีปัญหาแล้ว ทำให้หลังจากนั้น ทีมคว้าแชมป์ไม่ได้เลย มีแต่เด็กดาวรุ่ง เต็มทีมไปหมด บวกกับแข้งที่ไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะเป็นแชมป์ รุ่นพี่ก็เริ่มโรยรา อยากย้ายไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ อะไรประมาณนี้ครับ

ทีนี้ได้เงินมาก็จริง แต่ก็ต้องเอาเงินไปโปะนี่ค่าสนาม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวงในเขาคุยกันอย่างไร มีการจัดบริหารงบกันอย่างไร แต่ในช่วงตั้งแต่ทำสนามเป็นต้นมา อาร์เซนอล ไม่ได้ทุ่มซื้อนักเตะอีกเลย เน้นไปที่การควานหาดาวรุ่ง หรือแข้งโนเนม ที่ราคาถูกแต่ดีมากกว่า หรือไม่ก็ดึงแข้งพอมีประสบการณ์แต่ก็ไม่ได้เป็นแข้งเกรดเอ ซึ่งราคาก็ถูกตามนั้น

พอแข้งรายไหนเล่นได้ดี มีแวว ทีมที่ดูใหญ่กว่าพวกเขาก็คว้าตัวไปกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้เจ้าของสโมสรใหม่ ต้องการจะทำให้ทีมก้าวขึ้นไปในระดับโลก ก็มาซื้อนักเตะ อาร์เซน่อล ไปหลายราย ไล่ตั้งแต่ เอมมานูเอล อเดบายอร์, โคโล่ ตูเร่, ซามีร์ นาสรี่, กาเอล กลิชี่ หรือ จะเป็น บาการี่ ซานญ่า นี่ก็คือตัวหลักของ อาร์เซน่อล ในช่วงนั้นทั้งหมด

แม้ในช่วงหลังประมาณปี 2010 ขึ้นไป พวกเขาจะคว้านักเตะดีๆ มาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่นักเตะที่จะสามารถพาทีมไปถึงฝั่งฝัน ไล่ล่าความสำเร็จถึงบั้นปลายได้เลย แม้กระทั่ง การเสีย เชส ฟาเบรกัส เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญ หัวใจหลักของทีม ไปให้กับ บาร์เซโลน่า

หรือจะเป็น โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ โคตรดาวยิงที่เป็นทุกอย่างของทีมในช่วงนั้นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาก็กล้าที่จะขาย เรียกว่าขอกำเงินเอาไว้ก่อน ยังดีที่ปี 2013 ดูเหมือนหนี้สโมสรจะบางลง หลังจากนั้น เวนเกอร์ เลยเริ่มทุ่มเงินซื้อมากขึ้น

แต่อย่างที่เห็นกัน มันไม่ทันแล้วครับ สโมสรอาร์เซน่อล เปลี่ยนไปจากเดิม จากทีมที่เป็นตัวเต็งคว้าแชมป์ แต่พวกเขาทำได้เพียงแรงต้นหมดปลาย กลายเป็นที่มใหญ่ทีมนึง แต่ไม่ได้ดึงดูดให้ นักเตะระดับท็อป หรือ ดาวรุ่งที่มีแวว ตบเท้าเข้ามาร่วมงานกับพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าในช่วงที่หลายทีม มีชื่อเสียง ที่แทบจะการันตีความสำเร็จได้มากกว่า นักเตะเหล่านั้น ต่างย้ายไปกันหมด ผลสุดท้ายแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างภายในสโมสร ทำให้ เวนเกอร์ ตัดสินใจอำลาทีมออกไป

ซึ่งความเป็นจริง จะไปว่า ขงเบ้งเมืองน้ำหอม ก็คงไม่ได้ หากย้อนดูทุกอย่างที่เขาทำให้เพื่อทีม เขาสมควรมีรูปปั้นหน้าสโมสรเสียด้วยซ้ำ เพราะชายผู้นี้ได้ทำทุกอย่างและวางรากฐานเพื่อให้สโมสรแข็งแรง เชื่อว่า เหล่า สาวก กูนเนอร์ส รู้กันดี

แต่สิ่งที่ควรตำหนิ คือเจ้าของสโมสรที่ไม่เคยแสดงถึงความสนใจของสโมสรนี้อย่างจริงจัง มาหวังเพียงแค่กำไร เอาไปโปะธุรกิจในมือของเขาเพียงเท่านั้น ลองคิดดูว่า ถ้ามีเจ้าของสโมสรที่รักทีมแบบจริงจัง เหตุการณ์แบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

แต่ความจริงก็คือความจริง อดีตก็ต้องปล่อยไป แม้จะเคยมีช่วงเวลาที่ดีและร้ายเกิดขึ้น แต่เราควรโฟกัสกับปัจจุบัน อ้าว! ทำไมมันย่ำแย่กว่าเดิม ประโยคนี้ไม่ได้หมายถึง อาร์เซนอล นะครับ

Posted in บทความฟุตบอล

“ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ช่วงหนึ่งพวกเขาเคยเป็นทีมเต็งแชมป์ มักทำผลงานได้เป็นอย่างดี มีนักเตะขวัญใจชื่อดัง ที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกหลงรักพวกเขาและติดตามเชียร์มากขึ้น แม้เวลาเหล่านั้นจะล่วงเลยมานานเกือบยี่สิบปีแล้วก็ตาม แต่สำหรับเหล่าสาวก เดอะ กันเนอร์ส ยังมีภาพจำที่ชัดเจน ว่าพวกเขาเคยมีช่วงเวลายิ่งใหญ่แค่ไหน โดยเฉพาะกับ แชมป์ไร้พ่าย ถ้วยทองที่ อาร์เซนอล คว้ามาได้ในปี 2003/04

สำหรับบทความนี้ วิเคราะห์บอล UFA จะมาพูดถึงตำนานบทนั้น ว่ามันมีความยิ่งใหญ่มากแค่ไหน โดยเอาใจสาวกเดอะ กันเนอร์ส ที่ปัจจุบันก็ไม่รู้ว่า ทีมรักทีมนี้ จะกลับไปสู่จุดนั้นได้อีกเมื่อไหร่

ที่มาของ แชมป์ไร้พ่าย

หลังจากที่เสียแชมป์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อริยามนั้นที่เจอกันเมื่อไหร่ แทบใส่กันยับ ฤดูกาลถัดมาในปี 2003/04 อาร์แซน เวงเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส หมายมั่นที่จะพาทีมทวงบัลลังก์แชมป์กลับมาให้ได้

โดยได้เสริมทัพ คว้าตัว โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ปีกตัวจี๊ดวัย 20 ปีในขณะนั้น ที่ปัจจุบัน เรเยส ได้ล่วงลับไปแล้ว กับ เยนส์ เลห์มัน นายทวารจอมเก๋าจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาสั่งการแผนกองหลังอีกที รวมกับขุนพลเดิมที่นับว่าแกร่งมากในช่วงนั้น

นำโดย เธียร์รี่ อองรี ดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสร, เดนนิส เบิร์กแคมป์ ศูนย์หน้าสายคลาสสิค, โรแบร์ ปิแรส ปีกซ้ายสายยึกยัก ปาทริค วิเอร่า มิดฟิลด์ตัวรับพันธุ์ดุ และ จิลแบร์โต้ ซิลวา มิดฟิลด์ตัวรับที่เป็นมากกว่าตัวรับ เป็นต้น

โดย 38 นัดที่พวกเขาจะสร้างประวัติศาสตร์ เพียงแค่ 4 นัดแรกก็ชนะรวดมาได้ ก่อนที่จะสะดุดเสมอ 2 นัด หนึ่งในนัดนั้นคือการไปยันเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่อมาพวกเขาชนะได้อีก 3 เกมติด ซึ่ง 2 เกมนั้น มีเกมที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันคงเห็นกันได้ยากแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรหยุดพวกเขาได้ เดินหน้าคว้าชัยชนะ สลับกับเสมอ เกมไหนยิงได้ประตูเดียว ท้ายเกมก็เริ่มพาบอลไปที่มุมธงกันแล้ว เรียกว่าหยุดพวกเขาอยาก แถมยังมีการเล่นแทคติกหลากหลายอย่าง ที่ทำให้คู่แข่งชนปวดหัว พร้อมกับลีลาเกมรุกอันสุดสะเด่า ที่ เวงเกอร์ ให้ปรัชญากับนักเตะ ให้สร้างสรรค์เกมรุกได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ผลสุดท้าย จบฤดูกาล เก็บไป 90 แต้มจากการลงสนาม 38 นัด แบ่งเป็น ชนะ 26 นัด เสมอ 12 นัด ดาวซัลโวคือ เธียร์รี่ อองรี ซัดไปถึง 30 ประตู ส่วนแอสซิสต์มากสุดเป็น โรแบร์ ปิแรส แอสซิสต์ไปถึง 14 ครั้งให้เพื่อนทำประตู และไม่แพ้แม้แต่นัดเดียว คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แบบไร้พ่าย

ซึ่งปีนั้นถ้วยพรีเมียร์ลีก ได้จัดทำถ้วยพิเศษ ที่เป็นถ้วยขนาดเล็กสีทอง เพื่อมอบให้กับ อาร์เซนอล ที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดฤดูกาลนั้น เพิ่มอีกใบ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานตลอดกาลแห่งศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เลยก็ว่าได้

เพราะปัจจุบันนี้ ยังไม่มีทีมไหนที่ทำได้เหมือนพวกเขา แต่ต้องยอมรับว่า ฟุตบอล พัฒนาการกันทุกปี ทั้งแทคติกใหม่ๆ ระบบการพัฒนาของตัวผู้เล่น ที่ปัจจุบันมีทั้ง การฝึกซ้อมที่ทันสมัย ระบบโภชนาการ รวมถึงฟิตเนส การดูแลร่างกายต่างๆ และระบบแผนการเล่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีฤดูกาลไหน ที่ทีมไหนจะทำได้อีก

เพราะทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าทีมใหญ่จะมีแค่ สามทีมเหมือนเมื่อก่อน ปัจจุบันมีถึง 6 ทีมเลยทีเดียว และ อาร์เซน่อล ก็กลายเป็นอดีตทีมใหญ่ไปแล้ว แม้ว่าจะมีแฟนๆ หนาแน่นอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีการบริหารจัดการทีมที่ดี การเงินมั่งคงก็ตาม อีกทั้งทีมเล็กๆ ยังสามารถทำเซอร์ไพรส์ใส่ได้อยู่เสมอ

ดังนั้นหากจะกล่าวว่า แชมป์ไร้พ่าย ของ อาร์เซน่อล ยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้าเอาตามตรง ก็คือยิ่งใหญ่ เป็น 1 ในประวัติศาสตร์ตลอดกาล ของพรีเมียร์ลีก ก็ว่าได้ แต่มันเป็นได้เพียงอดีตเท่านั้น หากแต่ทุกคนให้ความสนใจในผลงานในปัจจุบันมากกว่า อีกทั้ง ถ้ามีทีมไหน สามารถทำแชมป์ไร้พ่ายได้อีก ก็เชื่อว่า ทีมนั้น จะได้รับการยอมรับมากกว่า

เพราะมันเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่การแข่งขันฟุตบอล เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีทีมไหนทำได้อย่าง อาร์เซน่อล เหล่าพลพรรค เดอะ กันเนอร์ส ก็ยังพอมีเรื่องคุยโม้โอ้อวดได้อยู่ว่า ทีมข้าเคยได้ถ้วยทองนะโว้ย

แต่อย่างไร คนเราก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน อดีตก็คืออดีต แต่ก็สามารถจำได้ว่าครั้งนึง เคยประสบความสำเร็จมากแค่ไหนนั่นเอง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกจดจำแบบไหน แต่ถ้าในฐานะของเหล่าสาวกปืนใหญ่ รวมถึงแข้งที่อยู่ในชุดประวัติศาสตร์นั้น ก็ยกให้ แชมป์ไร้พ่าย คือแชมป์ลีก ที่ดีที่สุดของ อาร์เซน่อล ยิ่งใหญ่ที่สุดในในของกูนเนอร์สทุกคน

Posted in บทความฟุตบอล