ในการเจรจาต่างๆ ในเรื่องการย้ายทีม การต่อสัญญากับทีม หรือ การเจรจาพูดคุยต่างๆ เอเย่นต์นักฟุตบอล ผู้เป็นตัวแทน ในการเจรจาของนักเตะ คอยดูแล ผลประโยชน์ ให้กับนักเตะ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กใหญ่ ทั้งสัญญาระหว่างนักเตะ กับต้นสังกัด หรือการหาสินค้า มาเป็นพรีเซนเตอร์ หรือบางราย อาจจะถึงขั้นไปช่วยทาสีบ้าน ก็มีครับ

โดยวันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA มานำเสนอ ขยายความของ เอเย่นต์ ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง คอยดูแลอะไร ให้กับนักเตะบ้างกันครับ และทำไม ในปัจจุบัน นักฟุตบอล ถึงควรมีเอเย่นต์ เพื่อดูแลผลประโยชน์ของเจ้าตัว

เอเย่นต์นักฟุตบอล คืออะไร มีหน้าที่อย่างไรบ้าง

เอเย่นต์นักฟุตบอล คือ ตัวแทนของนักเตะ ในการเจรจาต่างๆ ระหว่างสโมสร ทั้งการยื่นสัญญา ข้อเสนอต่างๆ โดยเอเย่นต์ จะเป็นตัวแทนคนสำคัญ ของนักเตะรายนั้น ในการพูดคุย และเจรจาทั้งหมด รวมถึงคอยดูแลสัญญา และการพูดคุยต่างๆ

โดยแล้วแต่ว่า จะมีการพูดคุย กับนักเตะอย่างไร และเอเย่นต์จะรับฟัง และพูดคุยตกลงกัน อย่างไร หลังจากนั้น ก็ค่อยมาเจรจา กับสโมสรต้นสังกัดนั่นเอง โดยปัจจุบันเอเย่นต์ เป็นคนสำคัญอย่างยิ่ง ในการเจรจาต่างๆ ระหว่างผู้เล่นกับสโมสร

ยกตัวอย่างเช่น ต้นสังกัดปัจจุบัน ของนักเตะ มีการยื่นข้อเสนอ เพื่อต่อสัญญา ซึ่งเอเย่นต์ของนักเตะ ก็รับหน้าที่ ในการเจรจา ดูเรื่องสัญญาต่างๆ อย่างละเอียด แล้วจึงมีการพูดคุย หาข้อตกลงในการเซ็นสัญญา ฉบับใหม่

ซึ่งเอเย่นต์รู้อยู่แล้ว ว่านักเตะของพวกเขา ควรได้รับค่าเหนื่อย และโบนัสอื่นๆ ในตัวสัญญาอย่างไร บางรายที่มีพาวเวอร์ดีๆ อาจจะรีดค่าเหนื่อยจากสโมสร ให้กับลูกค้าของต้น หรือก็คือนักเตะ ได้มากขึ้นจากที่ควรจะได้ ก็มี

ซึ่งหลังตกลงกันได้ เจรจาก็จะเกิดขึ้นอย่างสำเร็จ โดยเร็ว แต่ถ้าหากว่า สัญญาที่สโมสรต้นสังกัดยื่นมา เป็นที่ยอมรับไม่ได้ ก็ต้องมีการเจรจากันใหม่ หรืออาจจะล้มโต๊ะไปในที่สุด

ส่วนการเจรจา ในการย้ายทีมใหม่ เอเย่นต์ของนักเตะ ก็จะเป็นคนเจรจา อีกเช่นเคย โดยรับหน้าที่ เจรจากับสโมสรนั้นๆ แทบทั้งหมด และมีการพูดคุย รวมถึงนัดเจอ ด้วยจะให้นักเตะไปคุยเอง ก็คงจะดูไม่ดีนัก

ทำให้หน้าที่ ในการอ่านสัญญา ที่ได้รับเข้ามา ก็จะตกเป็นของเอเย่นต์ ไปโดยปริยาย ซึ่งก็จะเหมือนกับการ เจรจาต่อสัญญา คือถ้าการเจรจาเซ็นสัญญานักเตะ ถ้าในสัญญานั้น ตัวนักเตะและเอเย่นต์ มีความพึงพอใจ ก็ถือว่าดีลนั้นสำเร็จลุล่วง

ส่วนเอเย่นต์ของนักเตะ จะได้รับผลตอบแทน อย่างไรบ้าง ข้อแรก ได้จากการย้ายตัว ของนักเตะ ซึ่งก็ดูกันว่า จะได้เท่าไหร่ ซึ่งก็แล้วแต่ จะตกลงกัน บางรายนักเตะโอเคหมด แต่เงินที่ต้องจ่ายให้เอเย่นต์ เกิดไม่ลงตัวขึ้นมา ดีลนั้นถึงกับล่มไปก็มี บางดีลมีปัญหา ว่าฝ่ายใดจะต้องเป็นคนจ่ายค่าเอเย่นต์

ยกตัวอย่าง เอเย่นต์คนดัง อย่างในรายของ มิโน่ ไรโอล่า สามารถเรียกค่าเอเย่นต์ ได้สูงถึงหลักสิบล้านปอนด์ รวมๆ แล้วสโมสรจ่ายแทบหมดบัญชี หากอยากเซ็นสัญญา กับลูกค้าของเอเย่นต์คนดังรายี้

ส่วนสัญญาค่าเหนื่อย ของนักเตะ ตรงนี้นักเตะ จะตกลงกับเอเย่นต์ กันเป็นการส่วนตัว ว่าจะแบ่งให้กันเท่าไหร่ แต่รายได้ที่ดีที่สุด สำหรับเอเย่นต์ ของนักฟุตบอล คือ เปอร์เซ็นจากการย้ายตัว

ซึ่งจุดนี้ สังเกตุได้ ยิ่งนักเตะบิ๊กเนม ยิ่งราคาแพง เอเย่นต์รายนั้น รับทรัพย์กันอื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เอเย่นต์ ที่ดูแลนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ มักจะเป็นเอเย่นต์ ที่เป็นตัวท็อปของวงการ อยู่แล้ว มีความเก่งกาจ ในเรื่องของการเจรจาต่อรอง อย่างมาก

หากการเจรจา ไม่เป็นอย่างที่ตกลงกันไว้ พวกเขาพร้อมล้ม การเจรจาทันที โดยแทบไม่มีการง้อ ต่อสโมสรเลยด้วย กลายเป็นสโมสรนั่นแหละ ที่ต้องเป็นฝ่ายง้อพวกเขา ทำให้ในปัจจุบัน เอเย่นต์ของนักเตะ แทบจะกลายเป็นศัตรู ของสโมสรฟุตบอลไปแล้ว

ซึ่งเห็นได้เต็มๆ ว่าพวกเขา พร้อมเรียกผลประโยชน์ ให้กับตัวนักเตะ ที่พวกเขาดูแลอยู่ แบบเต็มที่ไม่มีกั๊ก ยิ่งดูแลดี ยิ่งได้รับทรัพย์อื้อซ่า เราจะเห็นได้ว่า เอเย่นต์บางราย บางสโมสรก็รักมาก บางสโมสร ก็เกลียดมากเช่นกัน

เพราะพวกเขา เหมือนโดนขูดรีด จากเอเย่นต์ที่ดูแลนักเตะ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ นักเตะหลายคน แทบไม่มีเวลาที่มากพอ ที่จะเรียนรู้ในการดูสัญญา จัดการปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง เพราะแค่ซ้อมบอล ทำการแข่งขัน ก็ใช้เวลาร่วมปีไปแล้ว

ดังนั้น เอเย่นต์นักฟุตบอล จึงมีความสำคัญอย่างมาก ต่อนักฟุตบอล และอาชีพนี้ ก็เป็นอาชีพที่ทำรายได้ อย่างมหาศาล หากเอเย่นต์เหล่านั้น มีความรู้ ไหวพริบ ในการเจรจาที่มากพอ

Posted in บทความฟุตบอล

จากประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่หมดสัญญา กับทางบาร์เซโลน่า และ ตกลงสัญญาใหม่ กันไม่ลงตัว โดยปัจจุบัน เขากลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ ซึ่งคำว่า ผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ คืออะไร ต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆ อย่างไร วันนี้ ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะมาอธิบาย ให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจกันแบบหมดเปลือก

ผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ คืออะไร?

ผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ คือ นักเตะที่หมดสัญญาฉบับปัจจุบัน กับสโมสรต้นสังกัด ซึ่งทำให้นักเตะ สามารถทำการเจรจา และพูดคุย กับสโมสรอื่นๆ ได้เลย โดยไม่ต้องผ่าน ต้นสังกัดปัจจุบัน เพราะนักเตะได้หมดสัญญา กับทีมเป็นที่เรียบร้อย นั่นเอง

ซึ่งตัวแทนของนักเตะ สามารถพูดคุยกับสโมสรต่างๆ รวมถึงพานักเตะ ที่หมดสัญญา เดินทางไปคุย กับทีมไหนก็ได้ในโลก ที่ต้องการเซ็นสัญญากับเขา ซึ่งการย้ายตัว จะไม่มีการจ่ายเงินค่าตัว ให้กับสโมสรที่หมดสัญญา เพราะนักเตะไม่มีสัญญาอะไรแล้ว นั่นเอง

แต่จะต้องจ่าย ค่าดำเนินการต่างๆ ให้กับเอเย่นต์ ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ และการเจรจาแทนนักเตะ ซึ่งจะตกลงกันเท่าไหร่ก็ว่ากันไป อย่างที่บอกกันว่า นักเตะไม่มีสัญญาแล้ว จะทำการเจรจาย้ายทีมกับทีมไหน ก็ย่อมทำได้หมด

ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็อยู่ที่ว่านักเตะพอใจ ที่จะย้ายไปทีมไหน หรือจะคล้ายๆ กันในอีกกรณี นั่นคือกฏ บอสแมน ที่นักเตะเหลือสัญญา กับต้นสังกัดปัจุบัน เหลือต่ำกว่าเพียง 6 เดือน ก็สามารถ ทำการพูดคุย และเจรจา กับสโมสรใหม่ได้เลย

นอกเสียจากว่าจะอยู่ต่อกับสโมสรเดิม ถ้าหากว่าสโมสรต้นสังกัด ได้จัดการยื่นข้อเสนอใหม่ ให้กับนักเตะพิจารณา ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็อยู่ที่การตัดสินใจ ของนักเตะ ว่าจะเลือกแบบไหน จะต่อสัญญากับทีมปัจจุบัน หรือ ตัดสินใจ ย้ายไปเล่น ให้กับสโมสรใหม่

โดย กฏบอสแมน สร้างไว้เพื่อปกป้องนักเตะ ไม่ให้ตกเป็นทาส กับสโมสรปัจจุบัน และให้อิสระกับนักเตะ ในการเลือกเซ็นสัญญากับทีมใหม่ หรือจะอยู่กับทีมเก่าต่อ หากมีข้อเสนอหยิบยื่นเข้ามา

ในส่วนนักเตะฟรีเอเย่นต์ ไม่ได้ฟรีอย่างที่คิดจริงๆ เพราะอย่างที่บอกว่า แม้นักเตะหมดสัญญา กับต้นสังกัดปัจจุบัน ไปแล้วก็ตาม แต่สโมสรใหม่ ที่เซ็นสัญญากับนักเตะ ฟรีเอเย่นต์ ก็ต้องจ่ายค่าเอเย่นต์ ของนักเตะด้วย

เพราะเอเย่นต์ มีบทบาทสำคัญ ในการเจรจาตั้งแต่ต้นตนจบ ซึ่งรับหน้าที่พูดคุย เป็นตัวแทนของนักเตะในทุกอย่าง ว่านักเตะต้องการสัญญาแบบไหน ค่าเหนื่อยเท่าไหร่ รายละเอียดต่างๆ อย่างไร

รวมถึงพูดคุย กับทางตัวแทนของสโมสร ว่าข้อเสนอที่มีมา น่าพอใจมากแค่ไหน มีการตกลงกัน ไปในทิศทางไหน ข้อเสนอที่ว่ามา เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ ซึ่งเอเย่นต์ของนักเตะ จะได้รับเงิน และผลประโยชน์ด้วย

สุดท้ายแล้ว ก็แต่ละสโมสร และตัวเอเย่นต์ จะตกลงกันอย่างไร แม้ในมุมของสโมสร มักจะไม่ยอมปล่อยให้ ผู้เล่นสำคัญ กลายมาเป็นผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ มากนัก เพราะทางสโมสร ต้องพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้นักเตะ กลายเป็นผู้เล่นฟรีเอเย่นต์

ด้วยสโมสร จะเสียผลประโยชน์อย่างมาก หากไม่สามารถได้เงิน จากการขายนักเตะ หลังปล่อยให้นักเตะหมดสัญญา แล้วย้ายออกไปแบบฟรีๆ

ดังนั้นเราจะเห็น นักเตะที่เหลือสัญญา 1 ปี ถึง 2 ปี ที่ถ้าหากเจรจา ตกลงสัญญาใหม่กันไม่ได้ สโมสรจะเริ่มหาหนทาง ที่จะขายนักเตะออกไป ในราคาที่เหมาะสม มากที่สุดนั่นเอง แต่นักเตะบางราย ที่ไม่ได้จำเป็น หรือมีส่วนร่วมกับสโมสรมากพอ สโมสรนั้นก็อาจจะปล่อย ให้นักเตะผู้นั้น กลายเป็นผู้เล่นฟรีเอเย่นต์

ส่วนนักเตะตัวเก่ง คนสำคัญของทีม ไม่มีสโมสรไหน ยอมปล่อยให้เป็น นักเตะฟรีเอเย่นต์ อย่างแน่นอน ทว่าในกรณีของ บาร์เซโลน่า กับ ลิโอเนล เมสซี่ สโมสรทำพลาดมหันต์ ที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ กลายเป็นส่งผลเสียร้ายแรง ให้กับสโมสร และแน่นอนว่า มันสะเทือนไปถึงลีก ลาลีกา สเปน ได้เลย

ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่า มีนักเตะชื่อดัง กลายเป็นฟรีเอเย่นต์มากขึ้น เนื่องจากในตอนนี้ ต้องยอมรับว่า การที่ผู้เล่นมีเอเย่นต์ดีๆ จะมีอำนาจการต่อรอง ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อก่อน หลายเท่าตัว

อย่างช่วงปิดฤดูกาล จะมีการจัดตัว Best 11 นักเตะที่ย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัว ซึ่งแต่ละปี ก็ถือว่า มีผู้เล่นชื่อดัง แต่อาจจะเป็นช่วงปลายอาชีพ พาเหรดกันติดทีมขำๆ นี้กันหลายคน

กลับกัน ในส่วนของนักเตะตัวสำคัญ ที่อยู่ในวัยกำลังดี สโมสรจะพยายาม ต่อสัญญาทั้งๆ ที่มีสัญญาเดิมเหลือค่อนข้างเยอะ เพราะไม่อยากเสี่ยงให้เวลาเหลือจำกัด กลายเป็นถูกบีบจากปัจจัยต่างๆ มากเกินไป

Posted in บทความฟุตบอล

ฤดูกาลใหม่ ของศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใกล้เปิดฉากขึ้นแล้ว ช่วงนี้ทุกสโมสร ก็ทำการฝึกซ้อมเตรียมทีม รวมถึงมีโปรแกรมอุ่นเครื่อง เพื่อเตรียมความพร้อม และ มีการพยายามเสริมทัพและปล่อยตัวผู้เล่นออกไป ซึ่งช่วงนี้หลายทีมก็วุ่นกับตลาดซื้อขายกันจ้าละหวั่น โดยทีมงานขอย้อนรอยเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยที่น่าสนใจ เกี่ยวกับ 6 สโมสรดังในพรีเมียร์ลีก กับ 5 นักเตะค่าตัวแพง ของแต่ละทีม มีราคาค่าตัวแพงติดกันเท่าไหร่บ้าง

5 นักเตะค่าตัวแพง ของ 6 สโมสรในพรีเมียร์ลีก

6 สโมสรในพรีเมียร์ลีก ที่ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA เลือกมามี แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ โดยเรามาดู 5 นักเตะค่าตัวแพง ของแต่ละสโมสร มีใครกันบ้าง โดยขอเริ่มจาก

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

5. ซอน เฮือง-มิน, เอริก ลาเมล่า, เซร์ฆิโอ เรกิลอน, โรแบร์โต้ โซลดาโด้ และ สเตเฟ่น เบิร์กไวน์ 30 ล้านยูโรติดโผถึง 5 รายเลยทีเดียว สำหรับแข้งค่าตัวแพง อันดับที่ 5 ของ “ไก่เดือยทอง”

โดยเริ่มจาก ซอน เฮือง-มิน ปีกซ้าย ชาวเกาหลีใต้ ที่ว่ากันว่าเป็นนักเตะอันดับที่ 1 ของทวีปเอเชีย โดยเจ้าตัวย้ายจาก “ห้างขายยา” ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ข้ามฟากมากรุงลอนดอน มาเล่นให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในปี 2015 ปัจจุบันเจ้าตัวยังอยู่กับทีมเป็นคนสำคัญอยู่ในทุกวันนี้

ต่อด้วย เอริก ลาเมล่า แนวรุกจอมถ่อยชาวอาร์เจนไตน์ ย้ายจาก โรม่า ทีมจากกัลโช่ เซเรีย อา มาร่วมทีมในปี 2013 โดยค้าแข้งอยู่กับทีมถึงเกือบ 8 ปี ก่อนที่ล่าสุดเพิ่งจะย้ายไปร่วมทีม เซบีย่า

ตามมาด้วย เซร์ฆิโอ เรกิลอน แบ็คซ้ายชาวสเปน ย้ายตัวจาก เรอัล มาดริด มาร่วมทีม ไก่เดือยทอง เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาต้องปรับตัวกับทีมต่อไป

รายต่อมาเป็น โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ดาวยิงชาวสแปนิช ย้ายจาก บาเลนเซีย มาซบตัก ไก่เดือยทอง แต่เหมือนฟอร์มจะไม่ค่อยโดนใจ โดยปัจจุบันอยู่กับ เลบานเต้

ปิดท้ายอันดับนี้กับ สเตเฟ่น เบิร์กไวน์ ปีกตัวจี๊ด ย้ายจาก พีเอสวี ไอนด์ โอลด์เฟ่น ในปี 2019 โดยเจ้าตัวก็ถือเป็นกำลังหลักให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน

4. จิโอวานี่ โล เซลโซ่ 32 ล้านยูโรโล เซลโซ่ ย้ายจาก เรอัล เบติส ทีมในศึกลาลีกา สเปน มาร่วมทีมในฤดูกาล 2020 โดยตั้งแต่นั้นจนปัจจุบัน เจ้าตัวเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของทีมได้อย่างลงตัว เป็นแข้งคนสำคัญคนหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว

3. มูสซ่า ซิสโซโก้ 35 ล้านยูโรมูสซ่า ซิสโซโก้ กองกลางที่โชว์ฟอร์มเด่นจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก่อนจะย้ายมาจอย ไก่เดือยทอง ในปี 2015 โดยตัวเจ้าก็เป็นตัวหลักอย่างสม่ำเสมอ แต่ฟอร์มก็แล้วแต่บางช่วง บทจะดีก็ดีใจหาย บทจะแย่ก็แย่ทั้งเกม โดยปัจจุบันยังคงค้าแข้งภายใต้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ต่อไป

2. ดาวิซอน ซานเชซ 42 ล้านยูโรดาวิซอน ซานเชซ กองหลังค่าตัวแพงระยับ ที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซื้อตัวมาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยราคา 42 ล้านยูโร ในปี 2017 แต่จนปัจจุบัน เจ้าตัวไม่สามารถเล่นได้คุ้มค่าตัวที่สโมสรเทงบจ่ายมาให้เลยแม้แต่น้อย แต่ยังมีสัญญาอยู่กับทีมหลายปี มีเวลาให้พิสูจน์ตัวเองอีกเพียบ

1. ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ 60 ล้านยูโรมิดฟิลด์ตัวเก่งรายนี้ ย้ายจาก “โอแอล” โอลิมปิก ลียง มาซบตัก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยราคา 60 ล้านยูโร เลยทีเดียว โดยเจ้าตัวใช้เวลาปรับตัวไม่นาน ก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยฤดูกาลนี้ น่าสนใจไม่น้อย ว่าเขาจะทำผลงานได้ดีมากแค่ไหน

อาร์เซนอล

5. โธมัส ปาร์เตย์ 50 ล้านยูโรโธมัส ปาร์เตย์ มิดฟิลด์ร่างใหญ่ทีมชาติกาน่า ย้ายจาก “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด ด้วยราคาสูงถึง 50 ล้านยูโร ในปี 2020 โดยเจ้าตัวลงเล่นไม่เท่าไหร่ ก็เจออาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด พอหายเจ็บมาเหมือนฟอร์มจะดี แต่จนตอนนี้ก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป

4. อเลซองดร์ ลากาแซตต์ 53 ล้านยูโร อเลซองดร์ ลากาแซตต์ ดาวยิงเคราเฟิ้ม สัญชาติฝรั่งเศส ย้ายจาก โอลิมปิก ลียง สโมสรที่ปลุกปั้นเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออด มาอยู่กับ อาร์เซนอล ด้วยค่าตัว 53 ล้าน ในปี 2017 ทว่าตั้งแต่ย้ายมา ยังถือว่าเจ้าตัวไม่สามารถเป็นดาวยิงตัวความหวังของทีมได้เลย โดยปัจจุบันส่อแววจะย้ายทีมหลังเหลือสัญญา 1 ปี

3. เบน ไวท์ 58.50 ล้านยูโรเบน ไวท์ กองหลังทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยศึกยูโร 2020 เพิ่งย้ายจาก ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน มาเล่นให้กับอาร์เซน่อล เมื่อเร็วๆ นี้เอง ด้วยค่าตัวที่แพงระดับเป็นระดับสถิติสโมสร เจ้าตัวต้องแบกความกดดันในการยืนแผงแนวรับ เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับสโมสรใหม่ในฤดูกาลนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2. ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง 63.75 ล้านยูโรปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ศูนย์หน้าชาวกาบอง ถูกจารึกว่า เป็นนักเตะคนสุดท้าย อาร์แซน เวงเกอร์ ซื้อตัวมา ในต้นปี 2018 จาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยราคา 63.75 ล้านยูโร โดยหลังจากนั้นเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มสม่ำเสมอให้กับทีม ทว่าฤดูกาล 20/21 และจนถึงปัจจุบัน เหมือนเจ้าตัวจะหมดไฟและแรงจูงใจในการเล่นไปแล้ว โดยไม่สามารถโชว์ฟอร์มอย่างที่เคยทำได้อีกเลย

1. นิโคลัส เปเป้ 80 ล้านยูโรปีกยึกยักชาว ไอวอร์รี่ โคสต์ ที่ ไอ้ปืนใหญ่ ซื้อตัวจาก “ตราหมา” ลีลล์ ด้วยราคาแพงระยับถึง 80 ล้านยูโร แถมยังเป็นผ่อนกันอีกด้วย ซึ่งใครก็ดูออกว่า ราคามันแพงเกินความจำเป็น โดย เปเป้ ยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้คุ้มค่าตัวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งแฟนบอลคงจะขอเพียงแค่ เล่นให้ได้พอกับค่าตัวครึ่งนึงก็พอ

เชลซี

5. จอร์จินโญ่ 57 ล้านยูโรจอร์จินโญ่ มิดฟิลด์ผู้ปิดทองหลังพระ ย้ายจาก นาโปลี มาร่วมทีม เชลซี ด้วยราคาสูงถึง 57 ล้านยูโร โดยเจ้าตัวผ่านเสียงวิจารณ์อย่างมากมาย แต่ทองแท้ยังไงก็เป็นทองอยู่วันยันค่ำ ตอนนี้เป็นแข้งคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ทั้งในสโมสรและทีมชาติ

4. เฟอร์นันโด ตอร์เรส 58.50 ล้านยูโรเฟอร์นันโด ตอร์เรส ทำแฟนบอลเดอะ ค็อปส์ ใจสลาย โดยย้ายจาก ลิเวอร์พูล มาซบตัก เชลซี ในปี 2011 ด้วยราคาสูงถึง 58.50 ล้านยูโร แต่ทว่า ด้วยอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เจ้าตัวไม่เคยโชว์ฟอร์มได้คุ้มราคาค่าตัวได้เลย แต่ก็ยังมีส่วนร่วมกับทีมในการคว้าแชมป์ ในตลอดการค้าแข้งที่ เชลซี

3. คริสเตียน พูลิซิซ 64 ล้านยูโรคริสเตียน พูลิซิซ แข้งวอนเดอร์คิ๊ดส์ ย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีมด้วยราคา 64 ล้านยูโร ในปี 2018 โดยเจ้าตัวพัฒนาฟอร์มตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง แต่ตอนนี้แสงเริ่มออกแล้ว มาดูกันว่าซีซั่นนี้เขาจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน

2. อัลบาโร โมราต้า 66 ล้านยูโรอัลบาโร โมราต้า ศูนย์หน้าผมไม่เคยเสียทรง ย้ายจาก เรอัล มาดริด ด้วยราคา 66 ล้านยูโร ในปี 2017 แต่ทว่า เจ้าตัวไม่สามารถฝากผีฝากไข้ได้เลย ยิงทิ้งยิงขว้างอยู่อย่างนั้น จนผลสุดท้าย เชลซี ต้องปล่อยตัวไปให้ แอตเลติโก มาดริด ยืมตัวก่อนขายขาด โดยปัจจุบุน โมราต้า เล่นให้กับ ยูเวนตุส แบบยืมตัว 2 ฤดูกาล

1. เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ 80 ล้านยูโรเกป้า อาร์ริซาบาลาก้า โค้ช เอ้ย! ผู้รักษาประตูชาวสเปน ที่ย้ายจาก แอธเลติก บิลเบา มาเฝ้าเสาให้กับ เชลซี 80 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของผู้รักษาประตูอีกด้วย

ทว่าด้วยแรงกดดันหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ เกป้า ปัจจุบันกลายเป็นมือสองของทีม โดย เชลซี ตอนนี้ ใช้งาน เอดัวร์ เมนดี้ นายทวารที่เพิ่งซื้อมาในฤดูกาลก่อน ลงเป็นมือหนึ่งแทน

ต่อกันที่ ไค ฮาเวิร์ตซ์ มิดฟิลด์อัจฉริยะ ย้ายจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มาร่วมทีมเชลซี ด้วยค่าตัวสูง 80 ล้านยูโร โดยเจ้าตัวช่วงแรกยังติดเกร็ง แต่ต่อมาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม มาปีแรก มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส ลีก ได้อีกด้วย

ลิเวอร์พูล

5. ฟาบินโญ่ 45 ล้านยูโรฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับ ชาวบราซิเลี่ยน ย้ายมาจาก โมนาโก มาร่วมทัพ หงส์แดง ในปี 2018 ด้วยค่าตัว 45 ล้านยูโร ด้วยเจ้าตัวกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมอย่างรวดเร็ว เป็นกำลังสำคัญในแดนกลาง โดยปัจจุบันก็เป็นแข้งที่ขาดไปไม่ได้แล้วอีกด้วย

4. คริสเตียน เบนเตเก้ 46.50 ล้านยูโรคริสเตียน เบนเตเก้ ศูนย์หน้าชาวเบลเยี่ยม ที่คว้าตัวมาจาก แอสตัน วิลล่า ด้วยราคา 46.50 ล้านยูโร ทว่า เจ้าตัวไม่สามารถตอบแทนราคาค่าตัวที่ ลิเวอร์พูล จ่ายได้เลยแม้แต่แดงเดียว โดยปัจจุบัน เบนเตเก้ กำลังเล่นให้กับ คริสตัล พาเลซ

3. นาบี เกอิต้า 60 ล้านยูโรนาบี เกอิต้า มิดฟิลด์ตัวกลาง สัญชาติ มาลี ย้ายจาก แอร์เบ ไลป์ซิก มาจอยกับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวสูงถึง 60 ล้านยูโร ทว่า เกอิต้า เจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้ฟอร์มไม่เคยสม่ำเสมอจนฝากผีฝากไข้ไว่ได้เลย โดยปัจจุบันเจ้าตัวยังอยู่ในทีม แต่ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองกันต่อไป

2. อลิสซง เบคเกอร์ 62.50 ล้านยูโรอลิสซง เบคเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิเลี่ยน ลิเวอร์พูล ไปคว้าตัวมาจาก โรม่า ด้วยค่าตัว 62.50 ล้านยูโร ในปี 2018 โดยหลังจากนั้น อลิสซง เป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีมมาโดยตลอด ด้วยผลงานการเซฟที่ยอดเยี่ยม จะมีฟอร์มหลุดบ้างประปราย แต่โดยรวมนี่คือผู้รักษาประตูมือดีคนหนึ่ง ที่ทีมเคยมีมาเลยทีเดียว

1. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค 84.65 ล้านยูโรเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังที่มีแต่คำถามว่า ทำไม ลิเวอร์พูล ถึงกล้าซื้อให้ เซาแธมป์ตัน ด้วยราคาสูงถึง 84.65 ล้านยูโร แต่ทุกวันนี้ คงไม่มีใครถามคำถามนี้อีกแล้ว เพราะคำตอบมันจัดเจนมากๆ โดย ฟาน ไดจ์ค เป็นแข้งคนสำคัญมากที่สุดในแผงแนวรับและมากที่สุดของทีมได้เลย สถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในกองหลังที่แทบจะดีที่สุดในโลก ณ ช่วงนี้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

5. อังเคล ดิ มาเรีย 75 ล้านยูโรอังเคล ดิ มาเรีย ปีกขวา ชาวอาร์เจนไตน์ พกดีกรีอย่างเต็มเปี่ยม ย้ายจาก เรอัล มาดริด มาร่วมทัพ ปีศาจแดง ด้วยราคา 75 ล้านยูโร แต่เล่นได้เพียงแค่ปีเดียว ก็ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งทำผลงานได้อย่างดีจนถึงปัจจุบัน

4. โรเมลู ลูกากู 84.70 ล้านยูโรโรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าชาวเบลเยี่ยม ที่ย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน มาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยราคาสูงถึง 84.70 ล้านยูโร แต่ยิ่งเล่นยิ่งโดนด่า ฟอร์มก็ไม่ดีได้ดั่งราคาที่ซื้อมา เป็นเป้าให้แฟนบอลโจมตี สุดท้ายแล้ว เลยย้ายไป อินเตอร์ มิลาน พร้อมกับสถาปนาตัวเอง กลายเป็นศูนย์หน้าระดับโลกไปแล้ว

3. เจดอน ซานโช่ 85 ล้านยูโรเจดอน ซานโช่ ได้ย้ายมาร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สมใจสักที หลังรอคอยร่วมปี โดยย้ายจาก เสือเหลือง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยราคา 85 ล้านยูโร โดยซีซั่นนี้มาดูกันว่า ซานโช่ จะเป็นแข้งคนสำคัญให้กับ เร้ด เดวิลส์ ได้หรือไม่

2. แฮร์รี่ แม็คไกวร์ 87 ล้านยูโรแฮร์รี่ แม็คไกวร์ ย้ายจาก เลสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สูงถึง 87 ล้านยูโร พร้อมโดนวิจารณ์อย่างหนักหน่วง แต่ปัจจุบัน แม็คไกวร์ เป็นแข้งคนสำคัญของปีศาจแดงและทีมชาติอังกฤษไปแล้ว โดยโชว์ฟอร์มได้อย่างบยอดเยี่ยม สมราคา

1. ปอล ป็อกบา 105 ล้านยูโรปอล ป็อกบา มิดฟิลด์ที่เคยย้ายไปร่วม ยูเวนตุส แบบฟรีๆ แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปซื้อกลับมาด้วยราคา 105 ล้านยูโร ซึ่งบอกตามตรงว่าโคตรแพง

โดยปัจจุบัน ป็อกบา ยังอยู่กับ แมนฯยู แต่สัญญาที่เหลือหนึ่งปี ทำให้เจ้าตัวออกทรงอยากย้ายทีมเต็มทน เรียกว่าแฟนบอลปีศาจแดงและสโมสร ต่างปวดหัวกันไปตามๆ กัน

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

5. ชูเอา คันเซโล่ 65 ล้านยูโรชูเอา คันเซโล่ แบ็คซ้ายทีมชาติโปรตุเกส ย้ายจาก ยูเวนตุส มา เรือใบสีฟ้า ด้วยราคา 65 ล้านยูโร ในปี 2019 โดยใช้เวลาปรับตัวร่วมฤดูกาล ก่อนที่จะหาฝั่งเจอและกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับ แมนฯซิตี้ จนถึงปัจจุบัน

4. ริยาด มาห์เรซ 67.80 ล้านยูโรริยาด มาห์เรซ ปีกตัวจี๊ดชาวแอลจีเรีย ย้ายจากทีม เลสเตอร์ ซิตี้ มาจอยทัพ เรือใบสีฟ้า ในปี 2018 ด้วยราคาสูงถึง 67.80 ล้านยูโร โดยเจ้าตัวเป็นหนึ่งในขุนพลคนสำคัญของทีมได้อยู่เสมอ แต่ฟอร์มก็มาๆ หายๆ ไปบ้างบางที แต่ก็ได้รับลงสนามอยู่เรื่อยๆ

3. รูเบน ดิอาซ 68 ล้านยูโรรูเบน ดิอาซ นี่คือหนึ่งในการใช้เงินแก้ปัญหาอย่างแท้จริง โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซื้อตัวจาก เบนฟิก้า ด้วยราคา 68 ล้านยูโร ในปี 2020 โดย รูเบน ดิอาซ เป็นหัวใจสำคัญในแผงเกมรับของเรือใบพันล้านได้อย่างลงตัว แม้จะเพิ่งมาเล่นเป็นฤดูกาลแรก

2. เควิน เดอ บรอยน์ 76 ล้านยูโรเควิน เดอ บรอยน์ เพย์เมกเกอร์แก้มแดง ชาวเบลเยี่ยม ย้ายจาก โวล์ฟสบวร์ก มาร่วมทัพ แมนฯ ซิตี้ ด้วยราคาสูงถึง 76 ล้านยูโร ในปี 2015 โดยทุกวันนี้ไม่มีอะไรกังขากับผลงานของ เดอ บรอยน์ อีกแล้ว โดยเจ้าตัวเป็นแข้งเบอร์ 1 ของทีมในตอนนี้เลยก็ว่าได้

1. แจ็ค กริลิช 117.50 ล้านยูโรสดๆ ร้อนๆ กับ แจ็ค กริลิช มิดฟิลด์ตัวรุกสุดหล่อเท่ ชาวอังกฤษ ที่ทุบสถิติเป็นนักเตะค่าตัวแพงสูงสุดคนปัจจุบันในเกาะอังกฤษไปแล้ว

โดย เจ้าตัว เป็นกำลังสำคัญของ แอสตัน วิลล่า เสมอมา ก่อนย้ายมาร่วมทัพ เรือใบสีฟ้า ด้วยราคา 117.50 ล้านยูโร มาดูกันว่า กริลิช จะพกเอาฟอร์มเก่งมาเล่นให้กับ แมนฯ ซิตี้ กันได้ไหม

จบกันไปแล้ว สำหรับบทความฟุตบอล 5 นักเตะค่าตัวแพง ของ 6 สโมสรในพรีเมียร์ลีก ซึ่งหากเพื่อนๆ ไม่อยากพลาดบทวิเคราะห์ดีๆ จากพวกเรา อย่าลืมติดตาม ufa.soccer ที่จะมีบทความเกี่ยวกับวงการฟุตบอล มาอัพเดทให้เพื่อนๆ อ่านกันทุกวัน

Posted in บทความฟุตบอล

เมื่อนักเตะ ของแต่ละสโมสร ได้เรียกร้อง ขอขึ้นบัญชีย้ายทีม สโมสรแต่ละสโมสรนั้น จะมีการจัดการอย่างไร ยิ่งสมมติว่าเป็นนักเตะที่ เป็นคนสำคัญกับทีม นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ยาก ต่อการจัดการ สุดท้ายแล้วผลดีผลเสียนั้น เป็นอย่างไรบ้าง บทความนี้จาก วิเคราะห์บอล UFA หวังว่า จะทำให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ข้อมูลไปพร้อมกัน และอาจจะช่วยให้เพื่อนๆ ได้รู้ความเป็นไป ของตลาดการซื้อขายนักเตะ เพิ่มมากขึ้น ว่าการที่ ผู้เล่นขอขึ้นบัญชีย้าย มีผลอย่างไร ต่อตัวนักเตะและสโมสร

ผู้เล่นขอขึ้นบัญชีย้าย มีผลอย่างไร ต่อตัวนักเตะและสโมสร

การขึ้นบัญชีย้ายทีมของนักเตะ ส่วนมากแล้ว กับสโมสร นักเตะเหล่านั้น มักเป็นนักเตะที่ เป็นคนสำคัญของสโมสร พวกเขามีเหตุผลหลายอย่าง ที่ทำให้ให้คนภายนอก นั่นคือแฟนบอลของสโมสรนั้นๆ หรือผู้ที่รักการแข่งขันฟุตบอล ที่ติดตามความเคลื่อนไหว ของวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะทีมไหนก็แล้วแต่

ซึ่งพวกเขาจะรู้สาเหตุคร่าวๆ ที่น่าจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่นักเตะเหล่าได้ตัดสินใจอยากย้ายทีม ไม่ว่าเหตุลผลนั้นคือ สโมสรไม่สามารถ ให้โอกาสในการลงสนามมากพอ, สโมสรนั้นไม่สามารถสร้างความสำเร็จ ในการคว้าถ้วยแชมป์ มีพัฒนาการที่แย่ลง ทีมไม่มีความคืบหน้า หรือ ทะเยอทะยานมากพอที่จะเป็นแชมป์ ปรับตัวกับทีมไม่ได้

หรือ หนักที่สุด สโมสรเหล่านั้น ไม่มีแรงจูงใจ และสามารถตอบโจทย์ให้นักเตะ อยากจะอยู่กับทีมต่อไป ทุกเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นเหล่านี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็ได้ส่งผลให้นักเตะของพวกเค้า ขอขึ้นบัญชีย้ายทีม

แต่ละสโมสรก็ต้องขึ้นแล้วคิดอีก ถึงผลกระทบที่ตามมา ยิ่งเป็นนักเตะตัวชูโรง ซูเปอร์สตาร์ของทีม สโมสรเหล่านั้น ไม่อยากจะขาย หรือปล่อยไปให้ทีมไหนอยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อนักเตะแสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจน ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ

บางสโมสรก็จัดการด้วยการเพิกเฉย หากนักเตะรายนั้น ยังเหลือสัญญาอยู่กับสโมสรอีกหลายปี แต่ถ้านักเตะคนไหน เหลือสัญญาเพียงแค่อีกปีสองปี เรียกได้ว่าส่งกระทบหนักเลยทีเดียว ทั้งการพูดคุยของตัวเฮ้ดโค้ช และบอร์ดบริหารของสโมสร ว่าจะจัดการอย่างไรดี

ถ้าหากขายไป จะสามารถหานักเตะเป็นตัวแทนคนใหม่ได้หรือไม่ ราคาที่ปล่อยควรจะได้เท่าไหร่ หากมีทีมที่สนใจยื่นข้อเสนอ แต่ราคายังไม่ถูกใจ ควรจะจัดการอย่างไร ตรงนี้ รายละเอียดจะไม่มีการเปิดเผยมากนัก หากนักเตะคนนั้นย้ายเกิดย้ายทีม ได้สำเร็จจริงๆ สำนักข่าวและสื่อข่าวอื่นๆ ก็ลงราคาอย่างเป็นทางการ ให้ทราบกันแล้ว

แต่สำหรับวงใน กว่าจะเคลียร์เรื่องราคา กว่าจะตกลงรายละเอียดอีกยิบย่อยกันได้ ย่อมใช้เวลาพอสมควร ดังนั้น เมื่อทุกตลาดการซื้อขายช่วงซัมเมอร์ หรือ ตลาดการซื้อขายช่วงปิดฤดูกาลก่อนเปิดช่วงซีซั่นใหม่ ย่อมเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจ จากวงการฟุตบอลทั่วโลก

นักเตะตัวแบกทีมเล็ก เจอทีมใหญ่ยื่นข้อเสนอมา ลองคิดดูว่าหากเป็นตัวเราจะทำอย่างไร จะย้ายไปไหม ยิ่งสโมสรนั้นมีความขลังกว่า มีประวัติและประสบความสำเร็จมากกว่า ยื่นข้อเสนอมา ก็ต้องคิดหนักกันบ้าง

ยิ่งทีมนั้น ยื่นข้อเสนอมาอย่างจริงจัง แต่สโมสรปัจจุบัน มีท่าทีที่เพิกเฉย คุณจะทำอย่างไร แน่นอนว่าถ้าใจคุณอยากไปเจอของใหม่ อยากเจออะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ คุณจะไม่ไปหรือ?

ดังนั้นคุณควรทำอย่างไร ในกฏเกณฑ์ที่สามารถทำได้ นั่นคือการร้องขอขึ้นบัญชีย้ายทีมนั่นเอง ซึ่งโอเคว่า มันเป็นไปตามกฏ แต่มันก็มีแง่ให้เล่นหลายอย่าง เพราะนักเตะยังอยู่ภายใต้ สัญญาปัจจุบันของสโมสร เหลือสัญญากี่ปีก็ว่ากันไป

ถ้ายังเหลือมาก นักเตะเหล่านั้นก็มีท่าทีที่แล้วแต่สถานการณ์ บางรายก็ไม่มาซ้อม ตามโปรแกรมที่สโมสรนัดไว้ บางรายก็มาซ้อม แต่ก็ขอแยกซ้อมส่วนตัว เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม และ รอฟังบทสรุปของการยื่นซื้อขายระหว่างสองสโมสร จะมีการจัดการอย่างไร

ถ้าหากการเจรจาจบลงด้วยดี ทั้งสโมสรตกลงเรื่องราคาค่าตัวกันได้ นักเตะรายนั้น ก็สามารถไปตรวจร่างกายกับสโมสรใหม่ และตกลงเซ็นสัญญากันในที่สุด แบบนี้น่าจะส่งผลดีที่สุดระหว่างสโมสร กับตัวนักเตะ แต่ถ้าผลร้ายล่ะ?

แน่นอนว่า เมื่อสองสโมสรเจรจากันไม่ลลงตัว หรือมีสโมสรที่สาม ที่สี่ขึ้นไป ยิ่นข้อเสนอที่ทำให้สโมสรต้นสังกัดของนักเตะ ไม่ถูกใจ หรือ ไม่ต้องการปล่อยตัว นั่นก็ทำให้นักเตะรายนั้น เกิดอาการงองแงและส่งผลเสีย ระหว่างสโมสรกับตัวนักเตะได้ทันที

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่แต่ละจิตใจคนนักเตะ หลายคนมืออาชีพพอ ก็ก้มหน้าก้มตาซ้อมกับสโมสรปกติ เพื่อลงเล่นกันต่อไป แต่หากบางราย อยากมูฟออนย้ายทีมขึ้นจริงๆ เรื่องหลัก ข่าวหลัก ที่เห็นกัน นั่นคือนักเตะเหล่านั้น ไม่มาทำการฝึกซ้อม หรือมาขอซ้อมแยกเดียว บางรายเงียบหายไปเลยก็มี มีแอ็คชั่นการต่อต้านต่างๆ ได้อย่างชัดเจน

ซึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เรื่องนักเตะ กับสโมสร ค่อนข้างยืดเยื้อในการย้ายทีม นั้นคือโบนัสการภักดี หรือเงินโบนัส ที่นักเตะจะได้รับ หลังจากที่อยู่กับทีมครบสัญญา นั่นทำให้นักเตะก็ไม่อยากออกตัวแรง แจ้งขอขึ้นบัญชีขาย เพราะจะอดเงินเหล่านั้นในทันที

กลับกัน หากสโมสรเลือกที่จะปล่อยตัวออกไปเอง จะทำให้นักเตะได้รับโบนัสเต็มตามที่เซ็นสัญญากันไว้ หลายครั้งสโมสรเลยประวิงเวลา ไม่ยอมเจรจาค่าตัวกับอีกสโมสรนึง ปล่อยให้ผู้เล่นกระวนกระวาย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเคสของ เนย์มาร์ กับ บาร์เซโลน่า ที่ยังฟ้องร้องกันถึงทุกวันนี้

ผลสุดท้ายแล้วไม่เคยจบสวยสักราย แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกันได้ทุกตลาดการซื้อ-ขายนักเตะ เพราะมันไม่ใช่เกม ที่เราจะบังคับกฏเกณฑ์ได้ตามใจชอบ ชีวิตคนเรา ก็อยากประสบความสำเร็จในทางที่เลือกเดิน อะไรไม่ใช่ ก็โยนมันทิ้งไป แบบไม่ใยดี ไม่ว่าจะเคยผ่านอะไรกันมาแล้วก็ตาม แต่นี่คือความจริงและมันเกิดขึ้นกันได้เป็นสิ่งปกติในวงการฟุตบอล

Posted in บทความฟุตบอล

ช่วงปิดฤดูกาล ก็จะเข้าสู่ช่วง ให้นักเตะไปพักผ่อน และสโมสรก็จะมี การนัดประชุมกัน ว่าผลงานในซีซั่นที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง ฤดูกาลหน้า จะมีแผนเตรียมการ กันอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีการเสริมทัพผู้เล่นเข้ามา และมีการปล่อยตัวผู้เล่นออกไป ไม่ว่าจะเป็นการยืม หรือ ขายขาดก็ตาม โดยทางทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะขอเน้นไปที่ การ ขอขึ้นบัญชีย้าย ของนักเตะ ความหมายคืออะไร วันนี้พวกเรา จะมาชี้แจงแถลงไข ให้กับเพื่อนๆ ได้รับฟังกันครับ

ขอขึ้นบัญชีย้าย คืออะไร

การขอขึ้นบัญชีย้ายทีม เกิดจากตัวนักเตะ ไม่ต้องการอยู่กับสโมสร หรือลงเล่นให้กับสโมสรต้นสังกัด ที่มีสัญญากันอยู่ ไม่ว่าจะเหลือสัญญาอยู่กี่ปีก็ตาม โดยนักเตะได้แสดง ความต้องการในการย้ายทีม ซึ่งทำโดยการยื่นขอ ต่อสโมสรต้องสังกัด เพื่อสโมสรปล่อยตัวเขาออกจากทีม

ซึ่งกรณีนี้ เกิดจากนักเตะ ไม่ต้องการอยู่กับสโมสรเดิม อีกแล้ว ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ปรับตัวเข้ากับทีมไม่ได้, ต้องการความท้าทายใหม่, ไม่ได้รับโอกาสลงสนาม มากเท่าที่ควร, ทะเลาะกับสตาฟโค้ช หรือ เพื่อนร่วมทีม และ มีข้อเสนอจากทีมอื่น ที่นักเตะต้องการย้ายทีม

แต่สโมสรต้องสังกัดปัจจุบัน ได้ปัดข้อเสนอ ไม่ให้เกิดการซื้อขายเกิดขึ้น ซึ่งปัญหามีทั้งร้อยแปด ที่นักเตะคนนึงๆ จะต้องการย้ายทีมออกไป ซึ่งส่วนมาก ก็มีทั้งสโมสรตอบรับ ที่นักเตะขอร้องมา และ ก็มีหลายสโมสรที่ไม่ต้องการ ปล่อยนักเตะรายนั้นออกไป แม้จะขึ้นขอย้ายทีมแล้วก็ตาม

ต่อมา นักเตะที่ไม่สามารถย้ายทีม ได้ตามที่ต้องการ ก็จะมีการแสดงออกแตกต่างกันไป บางรายก็ถึงขั้นหายหัว ไม่มาตามนัดของสโมสร บางรายก็มาซ้อมตามปกติ แต่ดูอาการออกว่า เขาต้องการย้ายทีมขนาดไหน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ส่งผลตึงเครียดอย่างมาก ทำให้บรรยากาศภายในทีมดูแย่ขึ้นมาทันที ไม่ว่านักเตะเหล่านั้น จะมีความสำคัญกับทีม มากน้อยแค่ไหนก็ตาม

สังเกตุได้เลยว่า สภาพทีมและสภาวะแวดล้อมของทีม บ่งบอกได้ชัดเจนเลยว่า ไม่สู้ดีนัก รวมทั้งสื่อต่างๆ พร้อมทำข่าวอย่างเจาะลึก เกี่ยวกับนักเตะรายนั้น กับสถานการณ์ของทีม ณ ปัจจุบัน ว่ามีอะไรกันเกิดขึ้น จะมีการจัดการกันอย่างไร

รวมถึงมีบทสัมภาษณ์ เรื่องการย้ายทีม กับตัวกุนซือ รวมถึงเอเย่นต์ของนักเตะ บางรายก็รู้มาก ให้สัมภาษณ์เติมเชื้อเพลิง แบบไม่เว้นแต่ละวันก็มี

ส่วนมากแล้ว จากการติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับวงการฟุตบอล ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การขอขึ้นบัญชีย้ายทีมของนักเตะ ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ แล้วล่ะก็ จะไม่มีการขอเกิดขึ้น แต่หากเกิดมีขึ้นมาแล้ว จบไม่สวยทั้งนักเตะกับสโมสรต้องสังกัดทุกรายไป

แถมแฟนบอล ของสโมสร พร้อมจะด่าสาปส่ง เผาเสื้อ ตามสาปแช่งกันไปตามๆ กัน ยิ่งเป็นการย้ายทีมร่วมลีก หรือ การแสดงออก ถึงความไม่เป็นมืออาชีพ ของนักเตะรายนั้นแล้วล่ะก็ ยิ่งไฟลามทุ่มขึ้นไปใหญ่ ซึ่งแต่ละสโมสร ก็จะมีการจัดการแตกต่างกันไป

บางสโมสรก็ยินยอมปล่อยแต่โดยดี เพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว จะรั้งไปก็ไม่มีประโยชน์ ยอมตัดเนื้อร้ายออกจากทีมไป แม้จะได้ราคาที่ถูกกดต่ำกว่า มูลค่าของนักเตะรายนั้นก็ตาม บางทีมก็แข็งข้อ จับนักเตะดองยาว เพราะยังมีสัญญากับทีมเหลืออยู่

ซึ่งตัวนักเตะก็ต้องเคารพสัญญา ที่ได้จรดน้ำหมึกเซ็นไปเอง ส่วนบางทีม หากได้ราคาที่ล่อตาล่อใจ ก็พร้อมประเคนให้ทันที เสิร์ฟใส่กล่องแพ็คให้อย่างดี จบแบบแฮ๊ปปี้กัน ทั้งตัวนักเตะและสโมสร ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นี่ก็คือการขอขึ้นบัญชีย้ายทีมนั่นเอง

อนึ่ง การขอขึ้นบัญชีย้าย จะทำให้นักเตะรายนั้น อดได้โบนัสภักดี ที่จะได้จากสโมสร เมื่ออยู่ครบสัญญา ไปโดยปริยาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งลูกล่อลูกชน ระหว่างตัวนักเตะ เอเย่นต์ และสโมสร เนื่องจากในรายของ ผู้เล่นดังๆ เงินจำนวนนี้มีจำนวนมหาศาล

ทำให้ในหลายๆ เคส นักเตะก็ไม่กล้าที่จะขอขึ้นบัญชีย้ายเต็มตัว ส่วนต้นสังกัดก็ไม่ยอมออกแอ็คชั่น หรือไม่ยอมลดราคา เนื่องจากรอให้นักเตะ ขอขึ้นบัญชีย้าย เพื่อที่สโมสรจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนนั้น แบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้หลายดีลยืดเยื้อกันไปนาน

ซึ่งนักเตะก็สามารถทำได้ แต่ทางสโมสรก็สามารถ เลือกที่จะจัดการตัดสินใจได้ว่า จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แต่จากที่เห็นอยู่บ่อยครั้ง นักเตะที่ขอขึ้นบัญชีย้าย แล้วมีเหตุการณ์ดราม่า มากที่สุด นั่นก็คือนักเตะที่เหลือสัญญา กับทีมต้นสังกัดปัจจุบัน เพียงแค่ราวๆ ปีเดียวเท่านั้น

เหตุการณ์เหล่านี้ สร้างดราม่า มากมายให้กับวงการฟุตบอล ระดับสโมสรมานักต่อนัก ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่นักเตะ สามารถร้องขอได้ และ สโมสรก็สามารถตัดสินใจได้เหมือนกัน เว้นแต่ใครจะชิงไหวชิงพริบ มีความได้เปรียบ ในการตัดสินใจ มากกว่านั่นเอง เชื่อเถอะว่า เหตุการณ์แบบนี้ จะยังอยู่ในตลาดการซื้อขายนักเตะ ไปอีกนาน

Posted in บทความฟุตบอล

เมื่อผู้เล่นฝีเท้าดี หรือนักเตะรายอื่นๆ ที่กำลังหมดสัญญา กับสโมสรปัจจุบัน หากสัญญาเหลือเพียงแค่ 6 เดือน นักเตะคนนั้น สามารถเจรจา กับทีมใหม่ได้ ตามกฏบอสแมนนั่นเอง หรือบางราย ก็รอให้สัญญาหมด อย่างเป็นทางการ ค่อยมีการเจรจากันจริงจัง กับสโมสรใหม่ต่อไป ซึ่งเรามาดูกันว่า เหล่านักเตะผู้เล่นที่หมดสัญญา จะต้องเสียค่าอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ พวกเขาเป็นนักเตะ ค่าตัวฟรี จริงหรือ?

วันนี้ ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพาเพื่อนๆ ทุกคน ไปแถลงไข ให้เข้าใจ ว่าที่พูดกันว่า นักเตะคนนึง ย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว ทีมที่เซ็นนักเตะเหล่านั้นไป ไม่เสียเงินซักแดงนึง จริงหรือเปล่า ?

ผู้เล่น ค่าตัวฟรี ฟรีจริงหรือไม่?

แน่นอนว่า นักเตะ ทุกคน ย่อมมีคนที่คอยเจรจา และดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ นั่นก็คือเอเย่นต์ หรือตัวแทนของพวกเขา แบบที่จะเรียกว่า นายหน้าผู้อยู่เบื้องการย้ายทีม ในตลาดการซื้อขายนักเตะ ที่เป็นคอยดูแลทุกสิ่งอย่าง ทั้งการดูสัญญาหรือเรื่องอื่นๆ เป็นคนดูแลผลประโยชน์ แทนนักเตะก็ว่าได้

อันดับแรกเลยนั้น การเจรจากับผู้เล่น ที่กำลังหมดสัญญา หรือนักเตะไร้สังกัด ไม่ฟรีแน่นอน เพราะต้องจ่ายค่าเอเย่นต์ ที่เป็นผู้ที่เดินหน้าเจรจา ระหว่างนักเตะ กับสโมสรใหม่ ของนักเตะผู้นั้น นั่นเอง ซึ่งจุดนี้คือจุดสำคัญ และเป็นเรื่องปกติสากล ในวงการโลกฟุตบอล ในปัจจุบัน

เพราะลำพังตัวนักเตะ ไม่สามารถ เดินทางไปพูดคุยโดยตรง กับสโมสรอื่นๆ ได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร อย่างยิ่ง โดยเฉพาะนักเตะ ที่ยังไม่หมดสัญญา กับต้นสังกัดเดิม เพราะมันไม่เหมือนกับว่า คุณทำงานออฟฟิศ และต้องการจะย้ายที่ทำงาน โดยการยื่นโปรไฟล์เรซูเม่ ให้บริษัทอื่นพิจารณา เมื่อทางบริษัทนั้นเรียกตัว คุณลางานปัจจุบัน แล้วไปสัมภาษณ์ กับบริษัทใหม่ แบบนั้นทำได้ปกติ

แต่ถ้าเป็นวงการฟุตบอล ถือว่าผิดมหันต์ เพราะเท่ากับว่า คุณไม่ให้เกียรติสโมสรต้นสังกัด ที่ตัวนักฟุตบอลคนนั้น ยังมีสัญญาอยู่ รวมถึงภาพลักษณ์ จะเสียหายอย่างมาก เพราะนักฟุตบอล ยิ่งกับนักเตะดาวดัง ภาพลักษณ์เป็นเรื่องสำคัญ การออกไปทำอะไร ปรากฏตัวที่ไหน ย่อมไม่พ้นเหยี่ยวข่าว ที่รอรายงานข่าว ทั้งจริง และเท็จกันอยู่แล้ว

ในส่วนของสัญญา และการเจรจา อย่างที่ถูกต้อง ทางต้องสังกัดใหม่ ต้องติดต่อกับเอเย่นต์ ทำการพูดคุย ถึงความเป็นไปได้ ในการเซ็นสัญญา ดึงตัวนักเตะมาร่วมทีมต่อไป ในส่วนต่อมา ยิ่งนักเตะใกล้หมดสัญญา หรือหมดสัญญา ทางสโมสรใหม่ ยิ้มกริ่มแน่นอน เพราะไม่ต้องจ่ายค่าตัวให้กับสโมสรของนัก

แต่กระนั้น สโมสรต่างๆ ที่อยากได้นักเตะรายนี้ ไปร่วมทีม พร้อมโน้มน้าวมัดใจ นักเตะเหล่านั้น ด้วยการเสนอโบนัสต่างๆ ลงในสัญญา เพื่อให้เอเย่นต์และนักเตะ พิจารณากันว่า ข้อเสนอแบบไหน ตัวนักเตะเอง จะได้ผลประโยชน์ได้ดีที่สุด

ดังนั้นคุณจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า นักเตะที่หมดสัญญากับทีมเก่า และย้ายไปทีมใหม่ ค่าเหนื่อยต่อสัปดาห์ ของเขา นั้นจะสูงกว่าที่ได้รับจากสโมสรเดิมอย่างมาก บางรายได้มากกว่าเดิม เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว ยังไม่รวมโบนัสอื่นๆ เช่น ค่ากินเปล่า ที่เป็นค่าเซ็นสัญญา หรือโบนัส ยิงประตูได้เท่านี้ จะได้เงินเพิ่มเท่านี้ จำนวนนัดที่ลงสนาม การคว้าแชมป์ต่างๆ ซึ่งจะถูกรวม ลงไปในสัญญาทั้งหมด

ที่นี้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่า สโมสรจะจัดให้แบบไหน และตัวนักเตะจะพอใจมากแค่ไหน จนถึงขั้นตกลงปลงใจ เซ็นสัญญาร่วมทีมในที่สุด ขั้นต่อมาซึ่งแทบจะสุดท้าย ท้ายสุด เมื่อสโมสรและตัวนักเตะ มีการตกลงเซ็นสัญญาในที่สุด ก็จะต้องมีการแบ่งเงิน ให้เอเย่นต์ ซึ่งเป็นตัวแทน ของนักเตะด้วย เพราะเป็นคนสำคัญ ในการดีลเจรจา ให้การเซ็นสัญญา บรรลุข้อตกลงกันได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่ว่า ทั้งเอเย่นต์ และสโมสร ตกลงกันที่เงินจำนวนไหน ซึ่งส่วนมาก จะไม่มีการเปิดเผยมูลค่า กันอย่างชัดเจน จะเป็นการคาดเดา จากสื่อกีฬาเสียมากกว่า ผู้เล่นบางราย หรือ เอเย่นต์บางคน สามารถเรียกเงินในส่วนนี้ รวมๆ แล้วแพงพอๆ กับ ค่าซื้อตัวกันเลยทีเดียว

ดังนั้น จะเรียกว่าผู้เล่นค่าตัวฟรีนั้น มันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเอาเข้าจริง มันไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ยกเว้นจะเป็นนักเตะที่ชื่อไม่ดัง หรืออายุมาก ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถ้าหาก เป็นนักฟุตบอลชื่อดัง ลืมความคิดที่ว่า สโมสรได้ตัวผู้เล่นมาแบบฟรีๆ ไปได้เลยครับ

ในส่วนปัจจุบัน โบนัสต่างๆ อย่างที่ทราบกันดีว่า วิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลก ทำลายทั้งผู้ค นและเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นแต่ละสโมสรเมื่อจะเซ็นนักเตะแต่ละราย ต้องคิดแล้วคิดอีก โบนัสบางอย่างในสถานการณ์ปกติ ยุคปัจจุบันนี้คงแทบจะให้ไม่ได้

ซึ่งรายละเอียดยิบย่อย ในส่วนโบนัสและการจ่ายต่างๆ ก็มักจะเป็นความลับ และไม่ได้มีการเปิดเผยกันเท่าไหร่นัก ส่วนมากจะรู้กันแค่ว่าเซ็นฟรี ซึ่งก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ฟรี ซึ่งมันไม่ฟรีจริงๆ อย่างที่พวกเรา ได้เปิดเผยไปนี่เอง

Posted in บทความฟุตบอล

วันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA ยินดีนำเสนอ 7 นักเตะระดับโลก ที่เคยได้ชื่อว่า ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้น รวมทั้งสิ้น 7 ราย ซึ่งแต่ละรายนั้น ในช่วงเวลานั้น ถือว่าเป็นยอดแข้งทองแห่งยุคและข่าวการย้ายทีม เรียกเสียงฮือฮาต่อวงการฟุตบอลเป็นอย่างมาก

โดยมาดูกันว่าจะเป็นใครบ้าง เพราะทางเราคัดมาแบบเน้นๆ ให้ทุกท่านได้อ่านกันแบบเพลิดเพลิน

7 นักเตะที่เคยได้ชื่อว่ามี ค่าตัวแพงที่สุดในโลก มีใครกันบ้าง

ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย การซื้อ-ขายนักฟุตบอล ทุกรอบตลาด มักได้รับความสนใจกันอย่างมาก ว่าจะมีใครย้ายไปทีมไหน ใครจะอยู่กับทีมกันต่อ โดยแข้งที่น่าจับตามองมากที่สุดในตลาดรอบนั้นๆ คือแข้งฝีเท้าดี หรือ แข้งซูเปอร์สตาร์ ที่มีข่าวย้ายทีม

โดยทั้งสื่อและแฟนบอล ต่างติดติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด ว่านักเตะรายนั้นจะย้ายไปทีมไหน ยิ่งกับแฟนบอลสโมสรใหญ่ๆ หากทีมโปรดของตัวเอง มีข่าวกับแข้งดัง ยิ่งใกล้วันปิดตลาด แทบจะกด F5 กันรัวๆ เพื่อลุ้นว่า นักเตะรายนั้นจะตบเท้าเข้ามาร่วมทีมหรือไม่

แน่นอนว่าความสนุกของตลาดซื้อ-ขายมันอยู่ตรงนี้สำหรับแฟนบอล ในส่วนของจำนวนเงินนั้น ยิ่งแข้งดีแข้งดัง ราคายิ่งแพง โดยเรามาดูกันว่า 7 นักเตะที่เคยค่าตัวแพงที่สุดในโลก เป็นใครกันบ้าง

7. หลุยส์ ฟีโก้ – บาร์เซโลน่า ย้ายไป เรอัล มาดริด 37 ล้านปอนด์

เปิดรายชื่อแรกมาก็ดราม่าแตก สำหรับ หลุยส์ ฟีโก้ที่ได้ตกลงปลงใจจาก “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ย้ายไปร่วมทีมคู่แค้นตลาดการอย่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสูงถึง 37 ล้านปอนด์ ในปี 2000 ซึ่งนับว่าราคานี้ สูงอย่างมากในโลกฟุตบอลสมัยนั้น

โดย ฟีโก้ เป็นแข้งเบอร์ 1 ของ บาร์ซ่า และเป็นกัปตันทีม ในช่วงนั้น โดยเป็นหนึ่งนักเตะที่ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในขุนพลแรกเริ่มของชุด กาลาติกอส ของทีมชุดขาวอีกด้วย สาเหตุที่ย้าย นอกจาก เรอัล มาดริด ได้ทุ่มเงินเพื่อจ่ายค่าฉีกสัญญา นั่นก็คือ

เอเย่นต์ของ ฟิโก้ ที่เปรียบเสมือนเพื่อนซี้ ได้แพ้พนันกับ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่ว่า หาก เปเรซ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานสโมสร ฟิโก้ ต้องย้ายมาร่วมทีม เรอัล มาดริด ไม่เช่นนั้นต้องเสียเงิน 30 ล้านปอนด์

6. ซีเนอดีน ซีดาน – ยูเวนตุส ย้ายไป เรอัล มาดริด 46.6 ล้านปอนด์

เพย์เมกเกอร์หัวไข ที่มีสมองอยู่ในเท้า เพราะการเล่นฟุตบอลของเขา เปี่ยมไปด้วยเทคนิคและเป็นหัวใจสำคัญให้กับทีมชาติและสโมสรยูเวนตุสด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงแบบนี้ ไม่พ้นสายตา เรอัล มาดริด ทีมเงินถุงเงินถัง ที่ยื่นซื้อ ซีดาน มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 46.6 ล้านปอนด์ ในปี 2001

หลังจากนั้น ซีดาน ก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักคนสำคัญอย่างรวดเร็ว พาทีมคว้าแชมป์นับไม่ถ้วน พกลีลาการเล่นแบบสุดเทพมาเต็มเปี่ยม อยู่จนแขวนสตั๊ดและรับหน้าที่เป็นโค้ชให้กับสโมสร

จนได้มาเป็นกุนซือของทีม พาทีมกวาดแชมป์อย่างมากมาย ทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และฟุตบอลลีก อีกด้วย ประสบความสำเร็จทั้งการเป็นนักฟุตบอลและการเป็นเฮ้ดโค้ช

5. กาก้า – เอซี มิลาน ย้ายไป เรอัล มาดริด 56 ล้านปอนด์

กาก้า เพย์เมกเกอร์เทพบุตร ชาวบราซิล ผู้คว้าบังลงดอร์ในปี 2007 นักเตะหัวแก้วหัวแหวนของ “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน ผู้ที่เป็นทุกอย่างในแนวรุกของทีม ทั้งลีลาแซมบ้า ความเร็วและการจ่ายบอลระดับโคตรมันสมอง ทำให้เขาเป็นหนึ่งนักเตะที่ดีที่สุดในโลกในยุคนั้น

แต่แล้ววันหนึ่ง เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ ย้ายไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ในปี 2009 ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์ โดยสาเหตุที่แท้จริงในการย้าย ไม่ใช่ว่าเขาหมดความท้าท้ายในการเล่นให้กับ เอซี มิลาน ที่ช่วงนั้นผลงานดูจะแผ่วไปบ้าง ไม่รุ่งเรืองเหมือนยุคก่อน

แต่เป็นการที่ เอซี มิลาน การเงินเข้าสู่ภาวะตึงเครียด ขาดทุนมากกว่าได้กำไร ตัวเลขแดงเป็นแทบ ดังนั้นเมื่อมีข้อเสนอจาก เรอัล มาดริด เข้ามา กาก้า คิดอยู่นาน แต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจย้าย เพื่อช่วยสโมสรนั้นเอง เรียกว่าหล่อทั้งกายและใจสำหรับเพลย์เมกเกอร์รายนี้

4. คริสเตียโน่ โรนัลโด้ – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป เรอัล มาดริด 80 ล้านปอนด์

ความฝันของนักฟุตบอลหลายคน คือการได้ไปเล่นให้กับ เรอัล มาดริด และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ฉายกปีกจอมสับในช่วงเวลานั้น ก็มีความฝันนี้ โดย โรนัลโด้ นั้นโดดเด่นอย่างมากในการเล่นให้กับ แมนฯ ยู

โดดเด่นถึงขั้นคว้ารางวัลบัลลงดอร์ เทพจนแฟนบอลทำใจไว้ล่วงหน้า ว่าเจ้าตัวต้องย้ายทีม ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ใน ปี 2009 ด้วยค่าตัวสูงถึง 80 ล้านปอนด์ หลังจากนั้นตำนานบทใหม่ก็เริ่มขึ้น เจ้าตัวขยับจากปีกมาเล่นกองหน้า ไล่ล่าประตูแบบหิวโหย เป็นตัวแบกให้กับ เรอัล มาดริด

จนเรียกได้ว่าหากจ่ายย้ายทีมอีกเท่าตัวอย่างไรก็คุ้ม คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันให้มากความสำเร็จกัปตันทีมชาติโปรตุเกสรายนี้ ส่วนปัจจุบัน โรนัลโด้ กำลังเล่นให้กับยูเวนตุส โดยไม่มีทีท่าว่าจะแขวนสตั๊ดในเร็วๆ นี้

3. แกเร็ธ เบล – ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ย้ายไป เรอัล มาดริด 86 ล้านปอนด์

เรอัล มาดริด อีกแล้วครับท่าน ทำอย่างไรก็สโมสรนี้มีเกียรติประวัติมากมายและยังร่ำรวยอย่างมาก ปีกสายเลือดเวลส์ ที่แจ้งเกิดเต็มตัวให้กับ สเปอร์ส เป็นหัวใจและเป็นทุกอย่างทีมไก่เดือยทอง ทั้งยิงทั้งจ่าย เกมทำท่าจะแพ้ อยู่ดีๆ พ่อลากยิงไกล ตุงตาข่าย ช่วยทีมมานักต่อนัก

แต่อย่างว่า สเปอร์ส ไม่ใช่ทีมที่จะประสบความสำเร็จอย่างที่ เบล ต้องการ เมื่อมีดีลจาก เรอัล มาดริด เข้ามา สเปอร์ส ก็ต้องจำใจยอมขาย ด้วยค่าตัว 86 ล้านปอนด์ ในปี 2013 ช่วงแรกๆ เบล ก็ทำผลงานได้อย่างดี มีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมชุดขาวคว้าแชมป์มาได้บ้าง

แต่หลังๆ อยู่ดีๆ กลายเป็นโปรกอล์ฟไปเสียอย่างนั้น ปัจจุบันยังมีสัญญากับ เรอัล มาดริด แต่อนาคตยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา

2. ปอล ป็อกบา – ยูเวนตุส ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 89 ล้านปอนด์

นี่คือดีลที่ซื้อตัวนักเตะเก่ากลับมาร่วมทีมที่แพงที่สุดในโลกก็ว่าได้ ปอล ป็อกบา ที่สถาปนาตัวเองเป็นยอดมิดฟิลด์ภายใต้การเล่นให้กับ ยูเวนตุส ทั้งการจ่ายบอลแบบมีคลาส ความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น จะทำประตู ยิงไกลก็บอกเลยว่าของโปรด

ได้ตัดสินใจย้ายกลับมาร่วมชายคาโอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสูงถึง 89 ล้านปอนด์ ในปี 2016 โดยเจ้าตัวหวังเต็มเปี่ยมว่าจะกลับมาแสดงฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมภายใต้สโมสรแห่งนี้

แต่ปัจจุบันก็อย่างที่เห็น เกมไหนมาดีก็ดีใจหาย แต่ส่วนมากจะหายตัว แถมตอนนี้ยังไม่มีทีท่าจะต่อสัญญากับ ยูไนเต็ด แต่อย่างใด ยังคงเป็นดราม่าชวนปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว

1. เนย์มาร์ – บาร์เซโลน่า ย้ายไป ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 198 ล้านปอนด์

เขาไม่อยากอยู่ใต้ร่มเงาของ เมสซี่ อยากพิสูจน์ตัวเองว่าข้าคือยอดแข้ง แม้จะทำผลงานได้อย่างมากกับ บาร์เซโลน่า เป็นตัวความหวังที่ขาดไม่ได้

แต่แล้ว เนย์มาร์ ได้เลือกเส้นทางใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยการย้ายไป ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยราคา 198 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าฉีกสัญญาของเขานั่นเอง สาเหตุการย้ายทีมก็อย่างที่กล่าวไป แต่สาเหตุอื่นก็มีดราม่าเรื่องของสองสโมสรกันอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก

แต่ก็สามารถโน้มน้าวในให้ เนย์มาร์ ผู้ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ได้ย้ายมาซบทีมดังแดนน้ำหอม พร้อมเป็นหัวใจหลักในเกมรุก เพียงแต่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานหนักไปหน่อย จึงไม่สามารถต่อยอดฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยามลงสนาม ก็ยังไว้ใจได้อยู่เช่นเคย

Posted in บทความฟุตบอล

พูดถึงตลาด การซื้อขายผู้เล่น มีอะไรที่มากกว่าการ เจรจา และใส่จำนวนเงินลงไป เพื่อซื้อตัวกัน มันมีรายละเอียดปลีกย่อย หลายต่อหลายอย่าง สำหรับการซื้อ-ขาย ในดีลบางดีลก็เกิดขึ้นง่าย ดีลบางดีลก็เกิดขึ้นยาก มีปัจจัยหลายอย่างเต็มไปหมด

โดยวันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะสรุป การซื้อ-ขายผู้เล่น ว่ามีรายละเอียดอะไรกันบ้าง เอาไว้อ่านเพลินๆ ในช่วงที่โปรแกรมฟุตบอล กำลังพักการแข่งขัน และตลาดการซื้อขายนักเตะ กำลังเปิดเต็มตัว

การซื้อขายผู้เล่น มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

ในการซื้อขายนักเตะ มีขั้นตอนหลายอย่าง โดยเราจะมาอธิบายกันครับว่า การซื้อขายนักเตะ ขั้นตอนต่างๆ มีอะไรกันบ้าง เริ่มต้นเมื่อสโมสรนึงสนใจนักเตะอีกทีมนึง การดีลเจรจาที่ถูกต้อง คือต้องสอบถาม และติดต่อทางต้นสังกัด ของนักเตะ ซึ่งส่วนมากแล้ว ทั้งนักเตะ และเอเย่นต์ของนักเตะ จะรู้ดีอยู่แล้วว่าทีมนู้นทีมนี้ให้ความสนใจพวกเขา เพราะข่าวคราวและอะไรต่างๆ มันเร็วมาก

หลายครั้งที่ตัวกุนซือ และนักเตะต่างๆ จะมีการพูดคุยกันผ่านนักเตะ ว่าทีมนี้ให้ความสนใจคุณอยู่ รวมถึงเอเย่นต์จะมีการติดต่อ และได้รับการติดต่อจากเอเย่นต์ด้วยกัน รวมถึงบุคลากรคนสำคัญ ของสโมสรต่างๆ อยู่แล้ว ต่อมาแน่นอนว่า มีกฏโดยตรงอยู่แล้ว

คือห้ามไม่ให้สโมสรทำการเจรจากับตัวนักเตะโดยตรง โดยที่ไม่ผ่านสโมสรต้นสังกัด ซึ่งถ้าตรวจพบว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น จะมีบทลงโทษต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่โดนปรับอ่วมอรทัยแน่นอน

ต่อมาเมื่อทำการติดต่อกับเอเย่นต์และทางสโมสรโดยตรง ทีมงานซื้อขายก็จะมีการสอบถามถึง สัญญาของนักเตะกับต้นสังกัด เหลืออยู่กีปี ค่าเหนื่อยเป็นอย่างไร มีการตั้งราคาซื้อขายไว้เท่าไหร่ รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ ของตัวนักเตะและครอบครัว นิสัยใจ คอ ลักษณะการใช้ชีวิตเป็นอย่างไร

ตรงนี้สำคัญนะครับ เพียงแต่ข่าวไม่ค่อยออกกันมา เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของนักเตะนั่นเอง นี่คือการสอบถามและเจรจาในขั้นตอนแรก ต่อมาถ้าหากสโมสรที่เจรจาด้วย ไม่ยินดีที่จะขายนักเตะ ก็จะมีการปัดการเจรจาในขั้นต่อไป หรือไม่ก็ตั้งราคาสูงๆ เข้าไว้ เพื่อกันไม่ให้อีกทีมเจรจาได้อีก แต่ถ้าหากสองสโมสรพร้อมเจรจา ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

นั่นก็คือ ทั้งสองทีมจะนัดพูดคุยกัน เรื่องค่าตัวมีราคาเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้จะใช้เวลาเจรจากันนาน ถ้าหากค่าตัวไม่ลงตัว อาจจะมีการเจรจาที่ยืดยาว 3-4 ครั้งภายใน 1 ถึง 2 เดือนได้เลยทีเดียว แต่ถ้าหากเม็ดเงินที่ยื่นให้ ถือว่าพอใจ การเจรจาก็จะราบรื่น และผ่านไปสู่ขั้นตอนต่อไป

ซึ่งก็มีรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ ทั้งเรื่องราคา อาจจะมีข้อเสนออื่นๆ เช่นจำนวนนัดที่ลงสนาม จำนวนนัดที่ติดทีมชาติ การทำประตู หรือ อื่นๆ รวมถึงมีออปชั่น ยืมก่อนจ่ายทีหลังเมื่อผลงานดี และอาจจะมีการจ่ายเปอร์เซ็น การขายนักเตะในช่วงต่อไป

เมื่อสองสโมสรตกลงค่าตัวกันได้แล้ว ทีนี้ก็จะเข้าสู่การเจรจากับเอเย่นต์ของนักเตะ คุยกันเรื่องค่าเหนื่อยและสิทธิพิเศษต่างๆ เช่นจำนวนนัดที่ลงสนาม เบี้ยซ้อม การทำประตูได้ ลูกแอสซิสต์ การเซฟลูกสำคัญ หรือลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ต่างๆ

ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่ระหว่างสโมสรและเอเย่นต์ รวมถึงนักเตะ ว่าต้องการไปทางไหน ทิศทางตรงกันหรือเปล่า ตรงนี้รายละเอียดมีเยอะอย่างมาก หากมีเพียงข้อใดข้อนึงที่ตกลงกันไม่ได้ ดีลนั้นอาจจะยกเลิกและยืดเยื้อ อย่างแย่ที่สุดก็ล้มโต๊ะเจรจากันไป

อย่างประเทศอิตาลีและสเปน จะมีข้อเสนอแปลกๆ อย่างเช่น ค่าฉีกสัญญาหรือการเป็นเจ้าของร่วมกัน ตรงนี้จะปวดหัวอย่างมาก อย่าง ลีกสเปน ถ้าหากสโมสรจะยื่นซื้อนักเตะ ได้ยื่นราคาเท่ากับค่าฉีกสัญญา ก็สามารถเจรจาโดยตรง กับเอเย่นต์ของนักเตะ รวมถึงสามารถยื่นเงินไปที่สมาคมฟุตบอลประเทศสเปน ได้ในทันที

มาต่อกันที่ เมื่อตกลงการเจรจาระหว่างสโมสรเสร็จสิ้นและเจรจากับนักเตะเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้จะเข้าสู่เรื่องการเซ็นสัญญา ซึ่งจะมีการร่างเซ็นสัญญาไว้แล้ว ว่าค่าเหนื่อยเท่าไหร่ ค่าตัวเท่าไหร่ ภายในสัญญาเซ็นกี่ปี มีเงื่อนไขอะไรกันบ้าง

เมื่อพอใจกันแล้ว นักเตะจะเดินทางไปตรวจร่างกายกับสโมสรใหม่ ซึ่งส่วนมากนักเตะจะตรวจร่างกายผ่านอยู่แล้ว แต่ถ้าหากนักเตะยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ก็ต้องว่ากันตามเคสนั้นๆ ว่าจะเป็นอย่างไร บางทีอาการไม่หนักมาก ก็จะตรวจร่างกายผ่านไปได้ แต่ถ้ามีอาการแทรกซ้อนที่น่าเป็นห่วง อาจจะมีการยกเลิกกันได้เลย เมื่อตรวจร่างกายผ่านกันไปด้วยดี

ทีนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย จะดูเรื่องระบบการลงทะเบียนนักเตะ ซึ่งแต่ละลีกจะมีรายละเอียดยิบย่อยแตกต่างกันออกไป รวมถึงเอกสารต่างๆ ซึ่งหากสำเร็จด้วยดี เมื่อเอเย่นต์และตัวแทนของสโมสร ดูรายละเอียดในสัญญาครบถ้วนแล้ว ก็จะนัดให้นักเตะเซ็นสัญญา

ซึ่งก็จะมีการเตรียมนักข่าว ทีมงานอื่นๆ ไว้ครบถ้วน รวมถึงการถ่ายภาพ เพื่อให้นักเตะเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่อเซ็นสัญญากันเสร็จแล้ว สโมสรจะส่งเรื่องไปที่สมาคมฟุตบอลของประเทศ เพื่อแจ้งยืนยันตัวนักเตะว่า นักเตะรายนี้เป็นแข้งของพวกเขาแล้ว

ต่อจากนั้น สมาคมของสโมสรที่จะซื้อนักเตะ ก็จะต้องยื่นเรื่องขอใบการย้ายตัว จากสมาคมของสโมสรต้นสังกัดของนักเตะที่จะย้าย ถ้าหากเป็นการซื้อตัวภายในลีกเดียวกัน ก็จะจบตั้งแต่สโมสรส่งเรื่องผ่านสมาคม แต่ถ้าเป็นการย้ายตัวข้ามประเทศ สองสมาคมก็จะต้องส่งเรื่องให้กันนั่นเอง เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

แต่กรณีบางอย่าง เช่น เวิร์ค เพอร์มิต หรือใบอนุญาตทำงาน ก็ต้องดูกันด้วยว่านักเตะมีแนวโน้มจะผ่านเกณฑ์หรือไม่ ถ้าหากไม่ได้ ก็จะไม่สามารถลงสนามให้ต้นสังกัดใหม่ ต้องมีการปล่อยยืมตัว จนกว่าจะสามารถยื่นใบอนุญาตทำงานผ่านกันอีกที

ก็จบลงแล้วสำหรับการซื้อขายนักเตะ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนกัน แต่สำหรับช่วงปิดฤดูกาล การซื้อขายนักเตะเป็นเรื่องที่ได้ลุ้นกันสนุกอยู่แล้ว

Posted in บทความฟุตบอล