รูดม่านปิดฉากไปแล้วสำหรับ ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 โดยผู้ชนะเป็นของ “อัซซูร่า” ทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จหลังจากดวลชนะจุดโทษเหนือ ทีมชาติอังกฤษ ไปได้ 3-1 หลังเสมอกันในเวลาปกติและช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 ส่วนวันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพาทุกท่านมาดู ทีมยอดเยี่ยม ยูโร 2020 ว่ามีใครกันบ้าง จะมีนักเตะในดวงใจคุณผู้อ่านหรือไม่ เรามาดูกันครับ

ทีมยอดเยี่ยม ยูโร 2020

ทีมยอดเยี่ยมครั้งนี้ มีนักเตะจากทีมแชมป์ อิตาลี 5 ราย ตามมาด้วย ทีมชาติอังกฤษ 2 ราย ทีมชาติเดนมาร์ก 1 ราย ทีมชาติสเปน 1 ราย ทีมชาติโปรตุเกส 1 ราย สาธารณเช็ก 1 ราย โดยไล่เรียงตำแหน่งดังต่อไปนี้

  1. จานลุยจิ ดอนนารุมมา 

ผู้รักษาประตูวัย 22 ปี ที่ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในศึกยูโรครั้งนี้ ฟอร์มการเซฟของพวกเขา ถือว่าสุดยอดไร้เทียมทานอย่างมาก มีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ โดยเฉพาะรอบชิงชนะเลิศ เจ้าตัวเซฟจุดโทษถึง 3 ลูกติด

ด้วยฟอร์มหนึบขนาดนี้ทำให้ ดอนนารุมมา ติดทีมยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ปัจจุบันเพิ่งย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หลังจากมูฟออนจาก เอซี มิลาน สโมสรที่ปลุกปั้นเจ้าตัว ตั้งแต่เล็กแต่น้อย

2. ไคลน์ วอร์คเกอร์

แบ็คขวาวัย 31 ปี จากสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้นี้ลงสนาม 6 นัดจาก 7 นัดที่ทีมชาติอังกฤษลงสนามในทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยเจ้าตัวเติมเต็มกราบขวาได้อย่างสุดยอด ลงเต็มนาทีไม่มีเปลี่ยนออก พละกำลังล้นเหลือ เติมเกมรุกก็ดี เกมรับก็แน่น โดยเฉพาะเกมรุกที่เล่นอย่างไร้ที่ติ

เหมาะสมแล้วที่จะติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์นี้ ฟอร์มเด่นมากๆ แม้อายุจะเลยเลขสามไปแล้วก็ตาม

3. เลโอนาร์โด โบนุชชี

กองหลังจอมเก๋าวัย 34 ปี รับใช้ทีมชาติอิตาลีถึง 108 นัด ความเก๋า ทางบอล ไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะทัวร์นาเม้นต์นี้ สามารถทำประตูในนัดชิงชนะเลิศได้อีกด้วย เล่นดีทั้งในสนามและยังโชว์เก๋ายันนอกสนาม เรียกว่าเป็นมีมได้เลย ทั้งการดื่มเครื่องดื่มหลังจากคว้าแชมป์ได้สำเร็จ รวมถึงการพูดหน้ากล้อง เรียกว่าได้ใจแฟนบอลอิตาลีและสร้างความเคืองใจให้กับทีมคู่แข่ง

ส่วนฟอร์มตลอดทัวร์นาเม้นต์ยืนจับคู่กับ จอร์จิโอ คิเอลลินี่ แบบไร้รอยต่อ เป็นปราการที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ปัจจุบันยังเล่นให้กับ ยูเวนตุส

4. แฮร์รี่ แม็คไกว์

ยูโรครั้งแรกเต็มตัวของ แม็คไกว์ วัย 28 ปี กองหลังค่าตัวแพงของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถลดคำสบประมาทได้อย่างหมดจด ในการคุมแผงเกมรับของเขา เป็นอันว่าทีมชาติอังกฤษไม่สามารถขาดชายผู้นี้ได้อีกแล้ว รวมถึงกับสโมสรอีกด้วย

ลงสนาม 5 นัดจาก 7 นัดกับทีมชาติอังกฤษในทัวร์นาเม้นต์นี้ พร้อมกับโขกได้ 1 ตุงสวยๆ การยืนเกมรับไม่ต้องห่วง ลูกกลางอากาศเจ้าตัวเก็บกินได้หมด มีส่วนสำคัญที่ทำให้อังกฤษเสียประตูเพียงแค่ 3 ลูกตลอดทัวร์นาเม้นต์ ไม่รวมลูกจุดโทษ

5. เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า

แบ็คซ้ายวัย 27 ปี แจ้งเกิดเต็มๆ กับทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยแบ็คขวาจากสโมสรโรม่า เล่นเกมรุกได้สุดมันกระชากวัย เรียกว่าเป็นหนึ่งแข้งที่เปลี่ยนอิตาลีมาเล่นสไตล์เกมรุกได้อย่างสุดสะเด่า เรื่องเต็มเกมรุกไม่ต้องห่วง ส่วนเกมรับอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว น่าเสียดายที่เจ้าตัวบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายฉีก ทำให้ลงสนามแค่ 4 นัดเท่านั้น พร้อมกับแอสซิสต์ 1 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม เพื่อนร่วมชาติก็พากันช่วยคว้าแชมป์ยูโรได้สำเร็จ โดยเจ้าตัวเดินพร้อมกับไม้ค้ำไปรับเหรียญแชมป์ร่วมฉลองกับเพื่อนๆ อย่างมีความสุข

6. เปดริ

มิดฟิลด์วัย 18 ปี จากสโมสรบาร์เซโลน่า เป็นตัวจริงให้กับ “กระทิงดุ” ทีมชาติสเปน ทุกนัด ลงครบทุกวินาที น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ทว่าผลงานของทีมชาติสเปนถือว่ามาไกลเกินค่าด และ ผลงาน ฟอร์มการเล่นของเจ้าหนูรายนี้ ก็ถือว่าทำได้ดีเกินความคาดหมาย จนได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประทัวร์นาเม้นต์ ยูโร 2020 ไปครอง

โดย เปดริ จะเป็นกำลังสำคัญทั้ง ทีมชาติสเปน และสโมสร บาร์เซโลน่า ไปอีกยาวนาน

7. ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก

มิดฟิลด์พลังไดนาโม วัย 25 ปี ชื่ออ่านยาก ของสโมสร ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นหนึ่งแข้งที่เดนมาร์ก ฝ่าฟันทำเซอร์ไพรส์ได้ถึงรอบรองชนะเลิศ โดย ฮอยเบิร์ก ขับเคลื่อนแดนกลางถึง 6 นัด แถมยังลงเล่นเต็มเกมทุกนัดไม่มีเปลี่ยนออก บ่งบอกถึงความฟิตได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งเจ้าตัวยังอายุอานามไม่เยอะ หากยังรักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ไว้ได้ แน่นอนว่าทีมบิ๊กเฮียพร้อมต่อสายเล็งคว้าตัวอย่างแน่นอน

8. จอร์จินโญ่

มิดฟิลด์ตัวคุมเกมอีกคนนึงของทีมชาติอิตาลี ที่โดนเนิฟเกินควร โดยเจ้าตัวทำผลงานได้ดีกับสโมสรเชลซี ทั้งการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกและเติมเต็มแดนกลางให้ทีมชาติอิตาลีอย่างไร้ที่ติจริงๆ ลงสนามช่วยชาติได้ทุกนัด พร้อมกับความฟิตเต็มเปี่ยม การจ่ายบอลออกบอล ฉลาดเหมือนเคย พละกำลังวิ่งไม่มีหมด ออกแนวปิดทองหลังพระเหมือนเดิม

เป็นนักเตะที่ทำผลงานได้ดีกว่าใช้ปากพูด ผลสุดท้ายคือมีส่วนช่วยให้ทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ยูโร มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

9. ราฮีม สเตอร์ลิง

ปีกตัวจี๊ดจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้จะโดนวิจารณ์เยอะว่าทำไมถึงได้ลงเล่นบ่อยๆ แต่เจ้าตัวก็สร้างความวูบวาบให้กับเกมรุกทางกราบซ้ายของทีมชาติอังกฤษ ลงเล่นทุกนัดในทัวร์นาเม้นต์นี้ โดยยิงไป 3 ประตู และ แอสซิสต์อีก 1 ครั้งด้วยกัน

ด้วยสไตล์การเลี้ยงกินตัว กระชากลากเลื้อย รวมถึงยังช่วยเกมรับอีกด้วย อีกทั้งประสานงานกับ ลุค ชอว์ ได้อย่างสวยงาม น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ในบ้านเกิดตัวเองได้สำเร็จ

10. เฟเดริโก้ เคียซ่า 

ปีกตัวจี๊ดแม้จะมีอายุเพียง 23 ปี ทว่าลงสนามให้กับทีมชาติอิตาลี ไปแล้วถึง 31 นัด ปีกขวาจาก ยูเวนตุส ทำผลงานในศึกยูโรครั้งแรกของเขาได้อย่างเนียนกริบ ทั้งหล่อ ทั้งเท่ กระชากลากเลื้อย สร้างอิมแพ็คเกมรุกทางกราบขวาของชาติได้อย่างสุดยอด แถมยังทำไป 2 ประตู จาก 7 นัดที่ลงสนาม

โดยเฉพาะประตูที่ยิงใส่ สเปน เป็นประตูสำคัญทำให้ อิตาลี ตัดสินฎีกาดวลจุดโทษเอาชนะ สเปน ไปได้ สุดท้ายแล้ว เคียซ่า มีส่วนร่วมสำคัญทำให้ อิตาลี เป็นแชมป์ได้ในทัวร์นาเม้นต์นี้

11. โรเมลู ลูกากู

กองหน้าวัย 28 ปี จากสโมสร อินเตอร์ มิลาน สถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกไปแล้ว ทั้งร่างกายกำยำแข็งแกร่ง ที่นำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง แถมจมูกไวในการใส่สกอร์ โดยทัวร์นาเม้นต์นี้ยิงไป 4 ประตู

น่าเสียดายว่าเขาและผองเพื่อน ที่เป็นหนึ่งทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์ กลับจอดอยู่เพียงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากพ่าย อิตาลี 1-2

Posted in บทความฟุตบอล

ปิดฉากกันไปแล้วสำหรับรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 แม้ครั้งนี้กระแสจะเงียบเหงาไปบ้างจากสถานการณ์อันย่ำแย่ในช่วงนี้ แต่หากทัวร์นาเม้นต์รอบนี้ ยังคงความสนุกสุดมันกันอย่างเช่นเคย พร้อมกับมีการทำประตูเกิดขึ้นอย่างมากมาย วันนี้ทีมงาน ufa.soccer จะกางทำเนียบ ดาวซัลโว ยูโร 2020 ว่ามีใครกันบ้าง โดยจะนับเฉพาะนักเตะที่ยิงเกิน 3 ประตูขึ้นไป

ดาวซัลโว ยูโร 2020

3 ประตู

  • จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม

จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์แข้งใหม่ป้ายแดงของ สโมสรบาร์เซโลน่า วัย 30 ปี สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติฮอลแลนด์ พร้อมกับบัญชาเกมแดนกลางได้อย่างสนุกสนาน แถมยังซัดไป 3 ประตูตลอดทัวร์นาเม้นต์นี้

โดยยิงนัดที่ ฮอลแลนด์ ชนะ ยูเครน 3-2 ในรอบแรกของกลุ่มซี ต่อด้วยซัดอีก 2 ประตู ในเกมนัดที่สามของกลุ่มซี ที่ ฮอลแลนด์ เอาชนะ นอร์ธ มาเซโดเนีย 3-0

  • โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

โคตรกองหน้าวัย 32 ปี เจ้าของดาวซัลโวบุนเดสลีกา ฤดูกาลล่าสุด สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติโปแลนด์ ลุยศึกยูโร 2020 ครั้งนี้ น่าเสียดายที่เจ้าตัวลงเล่นเพียงสามนัดเท่านั้นและจอดอยู่แค่เพียงรอบแรก ฝากไว้กับผลงาน 3 ประตู

โดยประตูแรกยิงในเกมที่ โปแลนด์ เสมอกับ สเปน 1-1 ต่อมาเกมที่สอง ทำได้สองประตูในเกมที่ โปแลนด์ พ่ายให้กับ สวีเดน 2-3

  • แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก

อีกหนึ่งกำลังสำคัญของทีมชาติเดนมาร์กชุดนี้ กองหน้าของสโมสรนีซ วัย 23 ปี ดอลเบิร์ก โชว์ฟอร์มในทัวร์นาเม้นต์นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นส่วนสำคัญยิ่งกับการเล่นเกมรุกของชาติ ลงสนาม 4 นัด จัดไป 3 ลูก

โดยทำได้ในเกมที่ เดนมาร์ก ชนะ เวลส์ 4-0 ซึ่ง ดอลเบิร์ก ซัดไป 2 ประตู ส่วนอีกเกมคือนัดที่ เดนมาร์ก คว่ำ สาธารณเช็ก 2-1 ยิงได้ 1 ประตู

  • อัลบาโร โมราต้า

ศูนย์หน้าทรงผมเท่ห์ วัย 28 ปีรายนี้ ยังเป็นที่ครหาของแฟนบอล อย่างไรก็ตาม ทัวร์นาเม้นต์นี้ จัดการทำประตูไปได้ 3 ประตู จากนัดที่ลงสนาม แม้ว่าสถิติจะดูไม่แย่ แต่จากโอกาสที่มี ถือว่าน่าผิดหวัง

ทำประตูได้ในเกมที่ สเปน เสมอ โปแลนด์ 1-1 ต่อมา ยิงได้ในเกมที่ เอาชนะ โครเอเชีย และ ปิดท้ายอีก 1 ประตู กับเกมที่พบกับ ทีมชาติอิตาลี ก่อนที่จะไปไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศ

  • ฮาริส เซเฟโรวิช

ศูนย์หน้าประสบการณ์สูงวัย 29 ปี ของสโมสรเบนฟิก้า ทำผลงานได้ดีพอสมควร พาทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ ไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยจัดการยิง 3 ประตูจาก 5 นัดที่ลงสนาม

เกมแรกยิงได้ในเกมที่ สวิตเซอร์แลนด์ ชนะ ตุรกี 3-1 และ เซอร์ไพรส์ในเกมที่ สวิสเซอร์แลนด์ เอาชนะ ฝรั่งเศส ไปได้ โดย เซเฟโรวิช ยิงได้ 2 ประตูในเกมนั้น

  • เซอร์ดาน ชากีรี่

ปีกสำรองอดทนของสโมสรลิเวอร์พูล วัย 29 ปี เป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญที่ช่วยให้ สวิตเซอร์แลนด์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไปไกลถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ชากีรี่ ลากเลื้อยและทำประตูได้ 3 ลูก

เกมแรก ที่ สวิตเซอร์แลนด์ เสมอกับ เวลส์ 1-1 เจ้าตัวแอสซิสต์ไป 1 ลูก ส่วนเกมที่ ชนะ ตุรกี ชากีรี่โชว์ฟอร์มโหด ซัดไป 2 ประตูและเกมที่พ่ายให้กับ สเปน เจ้าตัวสวมปลอกแขนกัปตันทีม ยิงได้ 1 ประตู

  • ราฮีม สเตอร์ริ่ง

ปีกซ้ายวัยจี๊ดของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ วัย 26 ปี เป็นขุมกำลังสำคัญแบบไม่เคยขาด ลงสนาม 6 นัด ยิงได้ 3 ประตู โดยเกมแรกยิงได้ในนัดที่ อังกฤษ เฉือนชนะ โครเอเชีย 1-0 ต่อมาก็ยิงประตูได้ในเกมที่ชนะ สาธารณเช็ก 1-0 โดยสองเกมแรกเจ้าตัวเป็นผู้ซัดประตูชัย ต่อมารอบ 16 ทีมสุดท้าย ก็ยิงได้ ในเกมที่ชนะ เยอรมัน

และปิดท้ายกับการแอสซิสต์ 1 ลูก ในเกมที่ชนะ ยูเครน น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่สามารถช่วยชาติคว้าแชมป์ยูโรไปครอง หลังพ่ายอิตาลี

4 ประตู

  • คาริม เบนเซม่า

กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง ก็โชว์ฟอร์มได้สุดปังปุริเย่ สำหรับ เบนเซม่า โคตรกองหน้าวัย 33 ปี จากเรอัล มาดริด ระเบิดฟอร์มทัวร์นาเม้นนี้ ลงสนาม 3 นัด ยิงได้ 4 ประตู โดยทำได้ในเกมที่ ฝรั่งเศส เสมอ โปรตุเกส 2-2 เบนเซม่า กดไป 2 ตุงและอีกเกมที่พลิกล็อคพ่ายให้กับ สวิตเซอร์แลนด์ ยิงได้ 2 ประตู

น่าเสียดายที่ เขาและเพื่อนๆ ไม่สามารถพา ฝรั่งเศส ไปไกลกว่ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ทั้งที่เป็นทีมเต็งแชมป์

  • แฮร์รี่ เคน

ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกฤดูกาลล่าสุด วัย 27 ปี รายนี้ รับหน้าที่สมปลอกแขนทีมชาติ พาทีมไปไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ไม่อาจช่วยชาติให้เป็นแชมป์ได้ ทำได้เพียงเป็นรองแชมป์อย่างน่าเจ็บปวด โดยยิงไป 4 ประตู เครื่องมาร้อนเอารอบน็อคเอ้าท์

โดยเกมแรก ยิงได้ในนัดที่ อังกฤษ ชนะ เยอรมัน 2-0 เคน ยิงได้ 1 ประตู ต่อมากับเกบ ยูเครน ทำไป 2 ประตูและนัดเจอกับ เดนมาร์ก ยิงไปได้ 1 ประตูด้วยกัน

  • โรเมลู ลูกากู

ดาวยิงจากสโมสรอินเตอร์ มิลาน วัย 28 ปีรายนี้ เขาไม่ได้มาเล่นๆ สถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกไปแล้ว ทัวร์นาเม้นต์นี้ ทำได้ 4 ประตูจาก 5 นัดที่ลงสนาม โดยเกมแรกที่เอา เบลเยี่ยม ชนะ รัสเซีย 3-0 เจ้าตัวซัดไป 2 ลูก

ต่อมา เกมที่ชนะ ฟินแลนด์ 2-0 ลูกากู ยิงไปได้ 1 ประตูและปิดท้ายในเกมที่ เบลเยี่ยม แพ้ อิตาลี 1-2 ลูกากู ซัดไป 1 ตุงด้วยกดัน

  • เอมิล ฟอร์สเบิร์ก

แข้งสารพัดประโยชน์ในเกมรุกของสโมสรแอร์เบ ไลป์ซิกและทีมชาติสวีเดน วัย 29 ปี ผู้ซึ่งเป็นเดอะแบกของเกมรุกทีมชาติอย่างแท้จริง โดยเจ้าตัว ซัดไป 4 ประตู จาก 4 นัดที่ลงสนาม ยิงได้ในนัดที่ สวีเดน เฉือนชนะ สโลวาเกีย 1-0

ต่อมาเครื่องร้อน ยิงได้ 2 ประตูในเกมที่ สวีเดน เฉือนชนะ โปแลนด์ สุดมัน 3-2 และปิดท้ายด้วยเกมที่แพ้ ยูเครน ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 ฟอร์สเบิร์ก ยิงได้ 1 ประตู เท่ากับว่ากองหน้ารายนี้ ซัดประตูติดต่อกันสามนัด

5 ประตู

  • แพทริค ชิค

ศูนย์หน้าวัย 25 ปี ของสโมสรไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นและสาธาณรัฐเช็ก ยิงได้ 5 ประตูจาก 5 นัดที่ลงสนาม ถือว่าจมูกไวและเป็นแข้งที่เซอร์ไพรส์ในการติดโผดาวซัลโวทัวร์นาเม้นต์นี้ โดย เกมที่ สาธารณรัฐเช็ก ชนะ สก็อตแลนด์ 2-0 เจ้าตัวเหมาคนเดียว

ต่อมา ซัด 1 ประตู ในเกมที่ เสมอกับ โครเอเชีย 1-1 ตามด้วยการทำเซอร์ไพรส์เอาชนะ ทีมชาติฮอลแลนด์ 2-0 โดยยิงได้ 1 ประตู ปิดท้ายกับเกมที่แพ้ เดนมาร์ก 1-2 ชิค ยิงได้ 1 ประตูด้วยกัน

  • คริสเตียโน่ โรนัลโด้

อายุ 35 ทำอะไรกองหน้าในประวัติศาสตร์รายนี้จะฟอร์มแผ่วลงได้เลยสำหรับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยกองหน้าของสโมสรยูเวนตุสและทีมชาติโปรตุเกส เป็นเดอะแบกในแผงเกมรุกของชาติ ยิงได้ 5 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ จาก 4 นัดที่ลงสนาม

โดยยิง 2 ประตูในเกมที่ โปรตุเกส เอาชนะ ฮังการี 3-0 ต่อมายิง 1 จ่าย 1 ในเกมที่ โปรตุเกส พ่าย เยอรมัน 2-4 และปิดท้ายกับเกมที่เสมอกับ ฝรั่งเศส 2-2 แผงฤทธิ์จัดไป 2 ลูก น่าเสียดายที่พวกเขาจอดเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น ไม่แน่ว่า โรนัลโด้ อาจจะยิงเยอะกว่านี้ก็เป็นได้

Posted in บทความฟุตบอล

ฟุตบอลยูโร 2020 ใกล้จะได้รู้แล้วว่าใครจะเป็นแชมป์ รวมถึง โคปา อเมริกา 2020 ก็เช่นกัน วันนี้ทีมงาน ufa.soccer จะมาแนะนำทริคเคล็ดไม่ลับที่จะเตรียมตัว ดูบอลนัดชิง ไม่ว่าจะรายการไหนก็ตาม ว่ามีความสนุกน่าติดตามอย่างไร ต้องเตรียมตัวอะไรกันบ้าง

ซึ่งไม่ยากเลยครับ บทความนี้เอาใจทั้งคอบอล คอพนันออนไลน์ ไม่ว่าจะมือใหม่ มือเก่า ครับ หวังว่าบทความนี้จะช่วยเพิ่มอรรถรสของกีฬาฟุตบอลให้ทุกท่าน

การเตรียมตัวและความสนุกของการ ดูบอลนัดชิง

พูดถึงนัดชิงชนะเลิศ ในรายการใหญ่ๆ มักจะมีความสนุกตื่นเต้น ให้ได้ลุ้นกันอยู่แล้ว ว่าทีมไหนจะเป็นแชมป์ในรายการนั้นๆ ซึ่งลุ้นกันตั้งแต่รอบแรกๆ ว่าใครเชียร์ทีมไหน อยากให้ทีมรักไปไกลได้แค่ไหน จะได้แชมป์หรือเปล่า ซึ่งก็แล้วแต่แฟนบอล คอบอกจะเลือกเชียร์ทีมไหน

เมื่อเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ย่อมตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ มากกว่าเกมนัดอื่นอยู่แล้ว ยิ่งเป็นทีมที่รักแล้ว ย่อมลุ้นระทึกมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ในส่วนความสนุกเร้าใจ เราจะได้ดูกันว่า เกมนั้นจะเป็นแบบไหน สองทีมที่เจอกัน ชื่อชั้นเป็นอย่างไร มีนักเตะคนไหนเป็นสตาร์ โอกาสทีมไหนจะได้แชมป์มีมากกว่ากัน สถิติการเจอกันของทั้งสองทีมเป็นอย่างไรบ้าง มีดราม่าอะไรเกิดขึ้นกันบ้าง ยิ่งดูยิ่งได้ลุ้น

มาในส่วนของการเตรียมตัว ไม่มีอะไรยาก ฟุตบอลรายการใหญ่ๆ ในนัดชิง เวลาการแข่งขันจะแตกต่างกันออกไป อันดับแรกพักผ่อนให้เพียงพอครับ เพราะเวลาการแข่งขันอาจจะดึกดื่น จนตื่นไปทำงานไม่ไหวนั่นเอง แต่สำหรับคนว่างๆ ก็ดูกันได้ชิลล์ๆ

ในส่วนต่อมาสำหรับนักลงทุน แน่นอนว่าต้องดูบทวิเคราะห์ฟุตบอล ศึกษา รายละเอียดของทั้งสองทีม ผลงานในทัวร์นาเม้นต์นั้นเป็นอย่างไร ฟอร์มของทีมเป็นอย่างไร สถิติเกมรุกและเกมรับเป็นอย่างไร นักเตะคนไหนฟอร์มดี ทีมเล่นสไตล์ไหน เกมนี้ใครจะมีโอกาสได้ลงสนาม นักเตะรายไหนบาดเจ็บหรือติดโทษแบน

ต่อมาก็ดูเรทราคา ทีมไหนต่อ ทีมไหนรอง ราคาออกหน้าไหน โอกาสเกมนี้จะเป็นอย่างไร นั่นเองครับ ถูกใจทีมไหนก็เลือกจิ้มทีมนั้นได้เลย ซึ่งการชมฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ เป็นเกมที่คอบอลทั่วโลกรอคอยจะชมมากที่สุด แม้สถานการณ์ในปีนี้ จะทำให้อะไรหลายๆ อย่างดูดรอปไปพอสมควร กระแสเงียบไปพอสมควร เห็นได้ชัดจากประเทศไทยของเรา ยูโร2020 กระแสตกไปครับ สถานการณ์แบบนี้ก็พอเข้าใจ

แต่อย่าง ทีมชาติอังกฤษ ที่แฟนบอลชาวไทยเทใจเชียร์เป็นอันดับ 1 ยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ แอบไปดูกระแสมาว่า ก็ยังมีคนติดตามเชียร์เยอะ ก็ขอให้ อังกฤษ ผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศให้ได้ แต่สำหรับ ทีมชาติอิตาลี และ ทีมชาติสเปน ก็มีคนติดตามเชียร์มากเช่นกัน

โดยเฉพาะ อิตาลี ที่ก่อนทัวร์นาเม้นต์ถูกยกให้เป็นเต็ง 8 ที่จะได้แชมป์ แต่ปัจจุบันพวกเขาอยู่ในรอบรองชนะเลิศ ทำให้คนเชียร์กันเยอะพอสมควร โดยเฉพาะสาวๆ เพราะ นักเตะ อิตาลี ส่วนใหญ่หน้าตาหล่อเหลากันอยู่แล้ว แต่ สเปน ก็ใช่ย่อย โมราต้า สาวๆ กรี๊ดกันอย่างหนัก

เข้าเรื่องกันต่อ สำหรับยูโร ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าใครจะได้แชมป์ ก็ขอให้เชียร์บอลอย่างสนุก ลงทุนกันอย่างระมัดระวัง สามารถดูบทความอื่นๆ ของเวปไซต์เรา จะช่วยเรื่องการแทงบอลและได้รับประโยชน์ มีโอกาสได้กำไรสูงครับ ขอให้เล่นกันอย่างใจเย็น

ส่วน โคปา อเมริกา 2020 นี้ คาดว่าคู่ชิงน่าจะเป็น ทีมชาติ บราซิล กับ ทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นสองชาติที่แย่งชิงความยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอลอเมริกาใต้มาอย่างยาวนาน บราซิล นำโดย เนย์มาร์ สตาร์ดังที่โชว์ฟอร์มแบกทีมชาติ และ เมสซี่ พระเจ้าลูกหนังของวงการฟุตบอลในปัจจุบัน

รายนี้ ผู้คนชอบว่าเขาเล่นกับทีมชาติไม่ดี แต่ถ้าหากเปิดใจลองดู เมสซี่ คือทุกอย่างของ อาร์เจนติน่า แบกจนหลังแอ่น ทัวร์นาเม้นต์นี้ให้ได้ชัดว่าเขายอดเยี่ยมขนาดไหน หวังว่าเกมนัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง บราซิล และ อาร์เจนติน่า จะสนุกลุ้นกันจนหยดสุดท้าย ส่วนเรื่องราคาก็ต้องรอดูอีกทีว่า จะออกมาแบบไหน แต่เชื่อว่าไม่ห่างกันมากครับ บราซิล ได้เป็นเจ้าบ้าน อาจจะต่อนิดหน่อย ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไป

ในส่วนรายการใหญ่ๆ อย่างโปรแกรมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ก็ต้องรอปีหน้า ว่าบทสรุปจะเป็นอยางไร เพราะช่วงนี้ ฟุตบอลลีกกำลังพักการแข่งขัน ตอนนี้ก็อย่างที่กล่าวไปด้านบน มี ยูโร 2020 และ โคปา อเมริกา สองรายการใหญ่ระดับทวีปให้ติดตามรับชม โดยสองรายการนี้ มีความสนุกตื่นเต้นเร้าใจอย่างมากครับ

แค่ ยูโร 2020 ก็สนุกกันแทบทุกเกมอยู่แล้ว โดยเฉพาะนัดชิงชนะเลิศ เราจะได้เห็นนักเตะทุกคนรวมถึงทีมงาน สตาฟโค้ช ข้างสนาม พร้อมจัดเต็ม มีเท่าไหร่ใส่หมดกำลังอยู่แล้ว เตะกันลืมตาย วิ่งกันสุดปอด ส่วนทีมไหนจะได้แชมป์ก็ต้องมาลุ้นกันอีกที

ยิ่งเมื่อสิ้นเสียงหมดเวลาการแข่งขัน เราจะได้เห็นโมเม้นภาพประทับใจ ในรอยยิ้มของผู้ชนะที่ได้จารึกประวัติศาสตร์ รวมถึงเห็นน้ำตาของผู้แพ้ ที่ทำได้เพียงมองถ้วยแชมป์ในฐานะรองแชมป์ในทัวร์นาเม้นต์นั้น ชาติไหนได้รับความพ่ายแพ้ เรียกว่าเศร้ากันทั้งประเทศ ส่วนชาติที่ได้แชมป์ ก็เฮกันทั้งประเทศ แทบจะปิดเมืองฉลอง นี่คือสิ่งที่น่าจดจำสำหรับทัวร์นาเม้นต์ทุกรายการครับ

ดูอย่าง บียาร์เรอัล ก็ได้ ในศึกยูโรป้า พวกเขาเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งสโมสรจากลาลีกา สเปน ยังไม่เคยคว้าแชมป์ถ้วยรายการใหญ่ๆ ได้เลย ซึ่ง ยูโรป้า ลีก คือถ้วยแรกของพวกเขา เรียกว่าปิดเมืองฉลอง เฮลั่นข้าวของพัง ไม่สนใจโควิดกันเลย

หรืออย่าง เชลซี ที่ได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนเกม ใครๆ ก็คิดว่าพวกเขา สู้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาสามารถคว้าถ้วยหูใหญ่ เป็นสมัยที่ 2 แฟนบอลสิงห์บลูทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย ฉลองกันสุดขีด นี่คือความปลื้มปิติ ความภูมิใจของทีมที่เชียร์ มันคือสิ่งที่เยียวยาหัวใจและเป็นความสุขของแฟนบอลได้เลยครับ

มาถึงเรื่องบอลไทย มันก็นานมากแล้ว ที่เราไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้หรือผ่านเข้ารอบลึกๆ ในรายการสำคัญ ก็หวังว่า สักวันนึง แฟนบอลไทย จะได้สัมผัสกับความสุขกันอีกครั้งครับ สำหรับฟุตบอล บางคนอาจจะเป็นกีฬา ดูเพลินๆ ยามว่าง แต่บางคน ฟุตบอลก็เป็นลมหายใจของเขา

สำหรับสองรายการที่จะชิงชนะเลิศกันเร็วๆ นี้ อย่าง ยูโร และ โคปา อเมริกา ถ้ามีเวลาว่าง ก็อยากให้ดูกันครับ เลือกทีมที่ชอบและคอยเชียร์ เชื่อว่าจะสนุกแน่ๆ แต่ถ้าอยากดูไปด้วย ลงทุนไปด้วย เราขอแนะนำ เวปพนันออนไลน์ ที่ปลอดภัย ให้ราคามากกว่าที่อื่น Ufabet เวปนี้ การันตีคุณภาพครับ ไม่จกตาแน่นอน

Posted in บทความฟุตบอล

ใกล้จะจบแล้วสำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป แต่ก่อนที่รอบชิงชนะเลิศ ศึกยูโร 2020 จะเกิดขึ้น วันนี้ทีมงาน ufa.soccer จะพาย้อนเวลาไปดู คู่ชิงยูโร เกมนัดชิงชนะเลิศของรายการฟุตบอลระดับชาติ ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ว่ามีใครกันบ้าง ใครได้แชมป์บ้าง โดยบทความนี้สนับสนุนโดย ufabet เวปพนันออนไลน์ ที่มั่นคง ปลอดภัย มากที่สุด พร้อมบริการตลอด 24 ชั่วโมง

คู่ชิงยูโร ที่ผ่านมามีใครกันบ้าง

ยูโร 1960

เป็นการจัดการแข่งขันครั้งแรก โดยประเทศฝรั่งเศส รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ มี 4 ชาติเข้าร่วมการแข่งขัน การแข่งขันรอบแรกใช้รูปแบบแข่งเจอกันแบบเหย้า-เยือน ก่อนต่อมาในรอบรองชนะเลิศ ใช้ระบบ น็อกเอาต์ ซึ่งแชมป์ในปีนั้น คือ สหภาพโซเวียต เอาชนะ ทีมยูโกสลาเวีย 2-1

ยูโร 1964

สำหรับการแข่งขันปีนี้ ทีมชาติสเปน เป็นเจ้าภาพ ยังใช้ชื่อ ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ ยังมีเพียงแค่ 4 ทีมที่ได้เข้มาทำการแข่งขันและยังใช้ระบบเหมือนปี 1960 นั่นก้คือ รอบแรกใช้ระบบเหย้า-เยือน ส่วนรอบรองชนะเลิศและนัดชิงชนะเลิศใช้ระบบน็อคเอ้าท์ ทีมชาติสเปน เจ้าภาพ คว้าแชมป์ หลังจากเอาชนะ สหภาพโซเวียต แชมป์เก่า 2-1

ยูโร 1968

เจ้าภาพคือประเทศอิตาลี ปีนี้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันเป็น ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 8 สาย โดยนำเอาแชมป์กลุ่มทั้ง 8 กลุ่ม จะได้เข้ารอบ ต่อมาต้องแข่งขัน 2 นัดก่อนจะเข้าสู่รอบต่อไป โดยนัดชิงชนะเลิศไม่ได้ใช้ระบบต่อเวลาพิเศษ ต้องแข่งกันใหม่ โดยเกมแรก ทีมชาติอิตาลี และ ทีมชาติยูโกสลาเวีย เสมอกัน 0-0 แต่เกมต่อมา ทีมชาติอิตาลี เอาชนะ ทีมชาติยูโกสลาเวีย 2-0

ยูโร 1972

ประเทศ เบลเยี่ยม รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ใช้ระบบการแข่งขันในปี ยูโร ปี 1968 และยังใช้ชื่อ ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ โดยแชมป์รอบนี้ตกเป็นของ ทีมชาติเยอรมันตะวันตก สามารถถล่มเอาชนะ สหภาพโซเวียต ท่วมท้น 3-0

ยูโร 1976

รอบนี้ประเทศ ยูโรสลาเวีย เป็นเจ้าภาพ ยึดระบบเหมือนยูโร ปี 1968 และ 1972 ใช้ชื่อรายกา่รแข่งขันเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้มีการใช้ระบบดวลจุดโทษตัดสิน หากเสมอกันในเวลาปกติ โดย เช็กโกสโลวาเกีย ดวลจุดโทษเอาชนะ ทีมชาติเยอรมันตะวันตก ด้วยสกอร์รวม 5-3 หลังจากเสมอในเวลาปกติ 2-2

ยูโร 1980

ประเทศ อิตาลี ได้เป็นเจ้าภาพอีกครั้งหลังจากที่เคยได้เป็นมาแล้วในปี 1968 โดยรอบนี้เปลี่ยนระบบการแข่งขันใหม่ โดยมี 8 ทีมที่จะได้เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายและแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ซึ่งแชมป์กลุ่ม จะได้เข้ามาเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ผลกรากฏว่า ทีมชาติเยอรมันตะวันตก เฉือนชนะ ทีมชาติเบลเยี่ยม 2-1

ยูโร 1984

ประเทศ ฝรั่งเศส ได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ได้เปลี่ยนระบบการแข่งขันอีกครั้ง โดยให้ 4 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดของทั้งสองกลุ่ม เข้ามาเล่นในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ ทีมชาติฝรั่งเศส เจ้าภาพ สามารถเอาชนะ ทีมชาติสเปน ไปได้ 2-0

ยูโร 1988

รอบนี้ ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก แชมป์ 2 สมัยได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพกันบ้าง โดยยังใช้ระบบการแข่งขันเหมือนปี 1984 แต่สุดท้ายแล้ว ทีมชาติฮอลแลนด์ สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดยเอาชนะ สหภาพโซเวียต แบบชิลล์ๆ ด้วยสกอร์ 2-0

ยูโร 1992

ประเทศ สวีเดน รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพกันในรอบนี้ โดยปีนี้ก็ยังใช้การแข่งขันเหมือนปี 1984 และ 1988 โดยปีนี้ ทีมชาติเดนมาร์ก ที่ได้สิทธิ์เข้ามาแทน ทีมชาติยูโกสลาเวีย ที่ถูกติดสิทธิ์เนื่องจากมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ สุดท้ายแล้ว ทีมชาติเดนมาร์ก สร้างตำนานบทใหม่ เอาชนะ ทีมชาติเยอรมัน 2-0 คว้าแชมป์ไปในที่สุด

ยูโร 1996

ครั้งนี้ ทีมชาติอังกฤษ ได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพกันบ้าง ได้เปลี่ยนชื่อเป็นศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งขาติยุโรป ส่วนรูปแบบการแข่งขัน ได้เปลี่ยนมาเป็น 16 ทีม ที่จะได้เข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยนำเอา 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มมาเตะรอบ 8 ทีมสุดท้าย นอกจากนี้ยังเอากฏ โกลเด้นโกล์ มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งกฏระบุไว้ว่า ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ ทีมไหนทำประตูได้จะชนะทันที ซึ่งแชมป์ในปีนี้คือ ทีมชาติ เยอรมัน เอาชนะ ทีมชาติเช็กโก 2-1 ซึ่งเวลาปกติเสมอกัน 1-1 แต่ช่วงต่อเวลาพิเศษ เยอรมัน ทำประตูได้และคว้าแชมป์ทันที ตามกฏ โกลเด้นโกล์

ยูโร 2000

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีสองชาติเป็นเจ้าภาพร่วม นั่นก็คือ ประเทศเบลเยี่ยมและประเทศฮอลแลนด์ โดยใช้การแข่งขันรูปแบบเดียวกับปี 1996 โดยแชมป์ตกเป็นของ ทีมชาติฝรั่งเศส สามารถเอาชนะ ทีมชาติอิตาลี 2-1 ด้วยกฏโกลเด้นโกล์ หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 1-1

ยูโร 2004

ประเทศโปรตุเกส รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ การแข่งขันครั้งนี้ได้ยกเลิกกฏโกลเด้นโกล์ หากเสมอกันในเวลา 90 นาที จะต่อเวลาพิเศษ ครึ่งละ 15 นาที ถ้ายังเสมอกันอีก จะทำการดวลลูกจุดโทษเพื่อตัดสิน โดยครั้งนี้มีประวัติศาสตร์เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจาก เดนมาร์ก เคยทำได้ในปี 1992 โดย ทีมชาติกรีซ หักปากกาเซียน สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดยเอาชนะ ทีมชาติโปรตุเกส เจ้าภาพไปได้ 1-0

ยูโร 2008

ครั้งนี้เป็น ประเทศออสเตรียและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ใช้ระบบเดียวกับปี 2004 โดยการแข่งขันปีนี้สนุกตื่นเต้นเร้าใจอย่างมาก สุดท้ายแล้ว ทีมชาติสเปน เป็นแชมป์ หลังจากเอาชนะ ทีมชาติเยอรมัน ไปได้ 1-0

ยูโร 2012

หลังจากประสบความสำเร็จในการมีเจ้าภาพร่วม ครั้งนี้ ประเทศโปแลนด์และประเทศยูเครน รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ โดยแชมป์ก็ยังเป็น ทีมชาติสเปน ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง ถล่มชนะ ทีมชาติอิตาลี 4-0 เป็นชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดในรอบชิงชนะเลิศ

ยูโร 2016

ประเทศฝรั่งเศสรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพแด่เพียงผู้เดียว โดยเปลี่ยนระบบการแข่งขัน เพิ่มมาเป็น 24 ทีมจาก 16 ทีม แบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยนำเอาสองอันดับแรกแต่ละกลุ่ม ผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไปและนำเอาสามอันดับที่ดีที่สุด 4 ทีมเข้ารอบไปด้วย โดยทีมชาติโปรตุเกส สามารถล้มเจ้าภาพ ทีมชาติฝรั่งเศส 1-0 โดยได้ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ คว้าแชมป์ไปครอง

Posted in บทความฟุตบอล

แม้จะไม่แพ้ใครถึง 27 นัดติดต่อกันทุกรายการ แต่ อิตาลี ในยูโร 2020 ก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเต็งแชมป์ แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังโดนค่อนขอดว่าพวกเขาไม่สามารถไปได้ไกลในทัวร์นาเม้นต์นี้ได้ ทว่าจากที่เห็น พวกเขาได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่ อิตาลี อย่างที่เคยรู้จัก วันนี้พวกเรา ทีมงาน วิเคราะห์ะบอล UFA จะมาวิเคราะห์ทีมชาติ อิตาลี ว่าพวกเขาจะสามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้หรือไม่ แถมคู่ปรับรอบต่อไป พวกเขาจะเจอกับทีมชาติสเปน ที่เคยโดนถล่มอยากเศร้าโศกในรอบชิงชนะเลิศ ยูโร 2012 มาแล้ว

อิตาลี ในยูโร 2020 เป็นอย่างไรบ้าง

หลังจากการคว้าแชมป์โลกปี 2006 ทีมชาติอิตาลี ผลงานดูซบเซาไปมากรวมถึงฟุตบอลลีกของพวกเขา แม้ปี 2010 อินเตอร์ มิลาน จะกวาดแทบทุกรางวัลก็ตาม ส่วนฟุตบอลยูโร เคยได้แชมป์มาครั้งเดียวในปี 1968 นู่เลย ใกล้เคียงที่สุดคือปี 2012 แต่พวกเขาแพ้ให้กับ ทีมชาติสเปน ถึง 0-4 เป็นนัดชิงชนะเลิศที่สุดข่มขืนของพวกเขา ยังผิดหวังมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนทัวร์นาเม้นยูโร 2020 พวกเขาถูกยกให้เป็นทีมนอกสายตาอย่างมาก แม้ขุนพลในยุค โรแบร์โต้ มันชีนี่ จะมีสถิติการลงเล่นก่อนรายการนี้ ด้วยการไม่แพ้ใครถึง 27 นัด ก็ตาม แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ อิตาลี ยุคใหม่ ของ มันชีนี่ เน้นเกมรุกสนุกสนานอย่างมาก ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนสำหรับ อิตาลี ทีมชาติที่เรารู้กันดี นอกจากนักเตะจะมีหน้าตาอันหล่อเหลา แต่เกมรับของพวกเขาคือจุดแข็งมาตลอด ใครจะบุกไปยิงพวกเขา เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก

เพราะแนวรับโดยเฉพาะตำแหน่งเซ็นเตอร์และผู้รักษาประตู ของพวกเขา ไม่เคยขาดแข้งคุณภาพดีเลยสักชุด รวมถึงแดนกลางในตำแหน่งมิดฟิลด์ของพวกเขา ยังไม่เคยขาดแคลนนักเตะฝีเท้าดีเลยสักครั้ง แต่ดูเหมือนนักเตะชุดนี้ ไม่ค่อยมีสตาร์ดังมากเท่าไหร่ จึงขาดความน่าสนใจและทุกลดทอนความแข็งแกร่งเกินจะเป็น

ถึงขนาดที่ว่า ยูโรรอบนี้ พวกเขาอาจจะตกรอบแรกเสียด้วยซ้ำ หรือชนะด้วยสกอร์ 1-0 เพียงเท่านั้น หากจะดีที่สุดคือเข้ารอบในฐานะอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นอะไรที่ดูโหดร้ายพอสมควร ทว่าเกมแรกที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ เกมที่ อิตาลี กลายเป็นทีมเยือนทั้งที่เล่นในบ้านของตัวเอง สามารถบุกมาเอาชนะ ตุรกี ที่ได้เล่นในฐานะเจ้าบ้านด้วยสกอร์ 3-0

ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแฟนบอล คอบอล รวมถึงนักลงทุน นักเดิมพัน ว่าจะมองข้ามพวกเขาไม่ได้แล้ว เพราะสไตล์การเล่นดุดันทางด้านเกมรุก พลิกโฉมฟุตบอลอิตาลีที่ทุกคนรู้จักไปอย่างสิ้นเชิง เกมรุกที่ตำแหน่งแบ็คเติมกันไม่พัก แดนกลางที่พร้อมทะลุทะลวงกองหลังฝั่งตรงข้าม รวมถึงกองหน้าแม้ตำแหน่งนี้จะดูด้อยที่สุดของทัพอัซซูรี่ ชุดนี้

แต่พวกเขาก็เล่นร่วมกันได้อย่างดี แถมนักเตะยังมีอายุอานามรวมกันไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ มีเพียง จอร์โจ คิเอลลีนี่, เลโอนาร์โด โบนุชชี่, ชิโ่ร่ อิมโมบิเล่, ฟรานเชสโก้ อเซอร์บี้, โลเรนโซ่ อินซิเย่, ราฟาเอล โตลอย รวมถึงนายทวารมือสาม ซัลวาตอเร่ ซิริกู รวม 7 แข้งที่อายุเกิน 30 ปี นอกนั้นอีก 17 ราย อายุไม่ถึง 30 ปีสักคน ส่วนเกมต่อมา พวกเขายังโชว์ฟอร์มโหด เอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ถึง 3-0 แบบชิลล์ๆ ยังโหดไม่เลิก พร้อมผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างสวยงาม

อิตาลี จะไปถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูโรได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ปาทริก วิเอร่า ที่เคยค้าแข้งให้กับ ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน ออกมากล่าวว่า แม้พวกเขาจะชนะมาได้ในสองเกมแรก แต่ไม่ได้แปลว่า พวกเขาจะไปได้ไกลกว่านี้ ผมคิดว่าพวกเขายังขาดแรงกระตือรือร้นและไม่เร็วมากพอ พวกเขายังดูไม่น่ากลัวมากนัก

ดังนั้น อิตาลี จึงยังไม่ใช่ตัวเต็ง มันเร็วเกินไปที่พวกเขาจะทะลุไปถึงแชมป์ได้ รวมถึง แกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองเดียวกัน แต่ก็ออกมาปิดท้ายว่า พวกเขาก็ทำทุกอย่างได้อย่างดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลังจากสองเกมแรก เกมที่สาม พวกเขาเข้ารอบไปแล้ว สามารถเอาชนะทีมชาติเวลส์ 1-0 ต่อด้วยรอบ 16 ทีมสุดท้าย จะให้ลุ้นกันหน่อยถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่พวกเขาสามารถเฉือนชนะ ออสเตรีย ไปได้ 2-1 ส่วนรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขายังโดนดูแคลนอยู่ดี คิดว่าคงไม่ผ่านทีมชาติเบลเยี่ยมไปได้ ซึ่งกูรูหลายสำนักต่างเทใจให้ทีมชาติเบลเยี่ยม

ทว่าอย่างไรก็ตาม อิตาลี สามารถเฉือนชนะ เบลเยี่ยม ไปได้ 2-1 พร้อมกับเล่นได้อย่างดี สมดุลเกมรุกและเกมรับทำได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรก พวกเขาจบสกอร์ได้อย่างคม นำไป 2-0 แต่มาพลาดเสียประตูจากลูกจุดโทษเท่านั้นเอง

ครึ่งหลังพวกเขาเหมือนตบหน้าเกจิดัง เหมือนจะบอกให้รู้ว่า พวกตูก็เล่นเกมรับได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะเว้ย ด้วยการปิดเกมรุกของเบลเยี่ยม ได้อยู่หมัด แม้จะทาง เบลเยี่ยม เองจะมีโอกาสทำประตูอยู่บ้าง แต่ก็ได้แค่หวาดเสียว ไม่ค่อยมีจังหวะเหน่งๆ จะๆ ให้ลุ้นกว่านี้

ตรงนี้คนทั้งโลก คงไม่มีใครสบประมาท ทัพอัซซูรี่อีกแล้ว ในระบบ 4-3-3 ที่ มันชินี่ วางไว้ นักเตะทุกคนเล่นเข้าแทคติกได้อย่างดีเยี่ยม สมดุลเกมรุกเกมรับบอกเลยว่าจัดจ้าน แต่จุดอ่อนยังมีตรงกองหน้า ทั้ง อิมโมบิเล่ ฟอร์มกลับมาฝืดอีกแล้ว เบล็อตติ ยิ่งแล้วใหญ่ มีความเชื่องช้าอย่างมาก

แต่ในส่วนกองกลางเรียกว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม มี จอร์จินโญ่ เป็นตัวยืน เล่นเนียบกริบ รวมถึง แวร์รัตติ ก็เล่นได้ตามมาตรฐาน ในส่วนของกองหน้าฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ยังเป็นทีเด็ดเช่นเคย โดยเฉพาะ อินซิเย่ กองหลังตัวกลาง โบนุชชี่ และ คิเอลลินี่ หายห่วง หลุดไปยังมี ดอนนารุมม่า พร้อมเซฟอีกต่างหาก

ส่วนจุดนึงที่ถือว่าเสียหาย ก็คือ สปินาซโซล่า แบ็คซ้ายฟอร์มจัดจ้านเจ็บเอ็นร้อยหวายปิดฉากรายการนี้ไปแล้ว แถมต้องเข้ารับการผ่าตัด พักถึง 4-5 เดือนเป็นอย่างต่ำ ซึ่ง เอเมอร์สัน ยังทดแทนได้แบบไม่เนียนกริบ แต่โดยรวม จากฟอร์มของพวกเขาที่ผ่านมา ทีมเวิร์คยอดเยี่ยมมาก เกมบุกน่ากลัว เกมรับชัวร์สุดๆ เรียกว่าแกร่งทั่วแผ่น พวกเขายังสามารถเล่นได้ทั้งการเล่นเกมรุก และ การปิดเกมรับแบบเน้นผล

ซึ่งเกมรอบรองชนะเลิศ พวกเขาจะได้เจอโจทย์เก่าในรอบชิงปี 2012 นั่นก็คือทีมชาติสเปน ซึ่งทัพกระทิงดุชุดนี้ ดูจะไม่แข็งแกร่งเหมือนเคย จึงมีโอกาสที่พวกเขาจะได้ล้างแค้น เพราะทีมชาติสเปนจากผลงานรายการนี้ทุกนัดที่ผ่านมา แลดูกระท่อนกระแท่นพอสมควร แต่จังหวะในการเล่นเกมรุก การจ่ายบอลทะลุช่องยังถือว่าเป็นของอันตราย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ทีมชาติอิตาลี ถูกยกให้เป็นเต็งสองที่จะคว้าแชมป์ รองจากทีมชาติอังกฤษ ที่ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 น่าสนใจเหลือเกินว่า อิตาลี ที่มีสถิตไม่แพ้ใคร 32 นัด ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัตศาสตร์ จะสามารถหักเขากระทิงดุ ทีมชาติสเปน เพื่อเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้หรือไม่

ซึ่งรอบนี้ พวกเขาไม่ใช่ทีมที่จะถูกสบประมาท โดนค่อนขอดอีกต่อไป เพราะนอกจากกูรู นักวิจารณ์ต่างยกให้เขาเหนือกว่า สเปน แล้ว ทางเวป ufabet เวปพนันออนไลน์ที่ดีที่สุด ได้เปิดราคา อิตาลี เป็นทีมต่อ ราคาที่ 0-0.5 หรือ ปป. แปลว่า อิตาลี ชนะ 1 ลูกขึ้นไปกินเต็ม ซึ่งราคาแบบนี้ ทีมงานอยากให้ทุกท่านจิ้มเลือกได้เลย โอกาสที่จะได้กำไรมีสูงอย่างมากครับ วัดจากฟอร์มต่อฟอร์ม สมัครเวป ufabet ฝากเงินเข้าไป รอกินกำไรกันได้เลยครับ

Posted in บทความฟุตบอล

ในวงการฟุตบอล มีนักเตะเก่งกาจมากมาย ที่เคยสร้างสรรค์ผลงานให้โลกจดจำ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหน แต่สายตาทุกคู่ส่วนใหญ่ มักจับตาดูฟอร์มการเล่นและผลงานของตำแหน่งศูนย์หน้าเสียมากกว่า เพราะเป็นตำแหน่งที่ตัดสินใจการทำประตู จังหวะสำคัญและโมเม้นต์ต่างๆ การยิงประตูในนัดสำคัญ ลูกประตูสุดสวย หรือเปลี่ยนสถานการณ์ สร้างตำนาน ประวัติศาสตร์ วันนี้ทีมงาน ufa.soccer ฺจัดอันดับ 10 อันดับนักเตะ ดาวซัลโวทีมชาติ ที่ทำประตูสูงสุดตลอดกาล ในโปรแกรมทีมชาติที่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า จะเป็นใครกันบ้าง ตามมาดูกันครับ

รายนาม ดาวซัลโวทีมชาติ สูงสุดตลอดกาล

10. คูนิชิเงะ คามาโมโตะ

คูนิชิเงะ คามาโมโตะ กองหน้าตำนานทีมชาติญี่ปุ่น ซัดไป 75 ประตูจาก 76 นัดในนามทีมชาติ เป็นดาวยิงสูงสุดของทีมชาติญี่ปุ่น โดยติดทีมชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 รวมระยะเวลาถึง 13 ปีด้วยกัน ค้าแข้งให้กับสโมสรเดียวยันแขวนสตั๊ด นั่นก็คือ ยันม่าร์ ดีเซล ซึ่งปัจจุบันคือสโมสร เซเรโซ โอซาก้า ยอดทีมในศึกเจลีก 1 นั่นเอง ก่อนจะแขวนสตั๊ดและผันตัวเป็นผู้จัดการทีม ปัจจุบันออกจากวงการฟุตบอลเต็มตัว ด้วยอายุอานามที่มากแล้ว เรียกได้ว่า เขาคือกองหน้าเบอร์ 1 ของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

9. ซานดอร์ คอกซิส

ซานดอร์ คอกซิส กองหน้าทีมชาติฮังการี ที่ทำประตูไปถึง 75 ประตู จาก 68 นัดที่ลงสนามในนามทีมชาติ โดยเริ่มติดทีมชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ติดทีมชาติเป็นเวลา 8 ปี ส่วนเกียรติประวัติในสโมสรก็ถือว่าเป็นแข้งระดับท็อป เริ่มต้นจากสโมสรในบ้านเกิด ก่อนจะไปโด่งดังกับ บาร์เซโลน่า โคตรทีมจาก ลาลีกา สเปน พร้อมคว้ารางวัลส่วนตัวและรางวัลถ้วยแชมป์กับสโมสร อย่างมากมาย แต่น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 49 ปี เท่านั้น

8. อาลี มับคูต

อาลี มับคูต ชื่อนี้แฟนบอลชาวไทยคุ้นหูกันดี เพราะเวลาเจอกับทีมชาติไทยเมื่อไหร่ มักแผลงฤทธิ์ ทำประตูได้ตลอด กับดาวยิงสูงสุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ยิงได้ถึง 76 ประตูจากการลงสนามให้ในนามทีมชาติ 93 นัด เป็นดาวยิงสูงสุดของชาติ ติดทีมชาติเมื่อปี พ.ศ. 2552 ปัจจุบันอายุ 30 ปี ยังคงโลดแล่นในการติดทีมชาติต่อไปและการเป็นแข้งระดับตำนานของสโมสร อัล จาซิรา สโมสรในลีกของประเทศ ซึ่งเจ้าตัวยังค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน

7. เปเล่

ในโลกของฟุตบอล ไม่มีใครไม่รู้จักชายผู้นี้ ตำนานที่ยังมีลมหายใจ “ไข่มุกดำเปเล่ โคตรกองหน้าแซมบ้าทีมชาติบราซิล จัดการประตูไปถึง 77 ประตู จากการลงสนาม 92 นัด ลงเล่นฟุตบอลโลกถึง 4 สมัยและคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย เป็นดาวยิงสูงสุดของทีมชาติบราซิล ว่ากันว่าเจ้าตัวยิงได้ทะลุพันประตู แต่ไม่ได้รับการรองรับหรือมีการบันทึกเอาไว้ ส่วนผลงานในสโมสร โด่งดังกับ ซานโต๊ส เป็นตำนานของสโมสรอีกด้วย คว้าแชมป์มากมายให้กับสโมสร รวมถึงคว้ารางวัลส่วนตัวเต็มตู้ ยิงประตูคู่แข่งเป็นว่าเล่น ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ที่เคยมีมา

6. ฮุสเซน ซาอีด

ฮุสเซน ซาอีด เจ้าของดาวยิงตลอดกาลของทีมชาติอิรักด้วยผลงานยิงไปถึง 78 ประตูจากการลงสนาม 127 นัด เริ่มติดทีมชาติชุดใหญ่ในปี พ.ศ. 1976 เคยพาชาติไปลุยฟุตบอลโลกในปี 1986 มาแล้วรวมถึง โอลิมปิก เกมส์ ก็ติดถึง 3 ครั้ง ส่วนข้อมูลในสโมสร ลงเล่นให้กับ ทีม อัล-ตาลาบา ปัจจุบันอายุ 63 ปี แต่ในช่วงนั้นเป็นยุคทองของประเทศอิรัก ผลงานระดับชาติ กวาดแชมป์เป็นว่าเล่น เคยเป็นพี่ใหญ่ครองในภูมิภาค ชนิดที่ว่าทีมอื่นตามทันยาก

5. ก็อดฟรีย์ ชิตาลู

ก็อดฟรีย์ ชิตาลู ไม่ใช่แค่เป็นดาวยิงสูงสุดของประเทศแซมเบีย แต่ยังเป็นนักเตะที่ทำประตูสูงสุดในระดับทีมชาติของทวีปแอฟริกากันเลยทีเดียว ซัดไปถึง 79 ประตู จากการลงสนาม 108 นัด ส่วนผลงานในสโมสรเล่นให้กับ คิตวี ยูไนเต็ด และ คับเว วอร์ริเออร์ แต่น่าเศร้าที่เขาเสียชีวิต ร่วมกับนักเตะทีมชาติแซมเบีย รวมถึงเจ้าหน้าที่และลูกเรือ ในระหว่างการเดินทางไปแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1994 รอบคัดเลือก

4. เฟเรนซ์ ปุสกัส

เฟเรนซ์ ปุสกัส ยอดนักเตะทั้งในนามทีมชาติและสโมสร โดยเขาคือแข้งคนสำคัญของชาติ สังหารไป 84 ประตู จากการลงสนาม 85 นัดให้กับทีมชาติ เริ่มติดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 รวมถึงเคยเล่นให้กับทีมชาติสเปน 4 เกมด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีกฏอะไรมากมาย ส่วนผลงานกับสโมสร โด่งดังกับ เรอัล มาดริด พร้อมพาสโมสรกวาดแชมป์มากมาย รวมถึงรางวัลส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน รวมถึงชื่อของเจ้าตัว ยังถูกมาใช้ในการแจกรางวัลลูกยิงยอดเยี่ยมประจำปีเป็นรางวัลที่ ฟีฟ่า ได้จัดตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปัจจุบัน

3. มอคห์ตาร์ ดาฮารี 

มอคห์ตาร์ ดาฮารี ยอดดาวยิงสูงสุดของทีมชาติ มาเลเซีย เพื่อนบ้านของเรานี่เอง เป็นตำนานของทีมชาติ ยิงไปถึง 89 ประตู จากการลงสนาม 142 นัด เคยพาทีมชาติมาเลเซีย ไปลุยศึกฟุตบอลโอลิมปิก เกมส์ มาแล้วอีกด้วย ผลงานในสโมสร เล่นให้กับ สโมสรเซลังงอร์ ยิงประตูให้กับสโมสรเป็นกอบเป็นกำ รวมถึงลงเล่นให้รายการ เอเชี่ยนคัพ และ รายการอื่นๆ อีกมากมาย

2. คริสเตียโน่ โรนัลโด้

แ้ม้อายุเข้าวัย 36 ปี แต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังโชว์ฟอร์มได้เหมือนวัยแรกรุ่น รักษาสภาพความฟิตดีเยี่ยม โดยล่าสุด เจ้าตัว ยิงได้ 109 ประตู จากการลงสนาม 177 นัด และมีทีท่าว่าจะทำลายสถิติของอันดับที่ 1 ได้ในเร็วๆ นี้ เพราะ โรนัลโด้ สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติโปรตุเกส พาทีมลุยศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่สำคัญ ร่างกายยังฟิตเปรี๊ยะ ยังมีเวลาค้าแข้งอีกนาน ส่วนผลงานในสโมสร ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งการเริ่มโด่งดังกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนย้ายไปเติบโตกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส สโมสรปัจจุบัน รวมถึงเป็นนักเตะที่ทำประตูได้มากที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล

1. อาลี ดาอี

อาลี ดาอี ยังเป็นสถิติที่ยังไม่มีใครตามได้ แต่คาดว่าคงจะถูกทำลายเร็วๆ นี้ โดยเขาเป็นตำนานกองหน้าทีมชาติอิหร่านและเป็นดาวยิงสูงสุด จัดการล่าตาข่ายไปถึง 109 ประตู จากการลงสนาม 149 นัด ติดทีมชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ส่วนผลงานในสโมสร เริ่มเล่นให้กับสโมสรภายในประเทศก่อนโด่งดังจนเคยถึงขั้นไปเล่นบุนเดสลีกามาแล้ว โดยเคยเป็นนักเตะของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค อีกด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามนี่คือกองหน้าที่ยิงประตูได้สูงสุดในนามทีมชาติ ณ ขณะนี้

Posted in บทความฟุตบอล

หากเอ่ยชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แน่นอนว่าไม่มีใครรู้จักเขา เพราะนี่คือหนึ่งนักเตะที่ดีที่สุดในโลกฟุตบอลในปัจจุบันและเมื่อเขาแขวนสตั๊ด ก็จะเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดี่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เจ้าตัวโลดแล่นอยู่ในวงการฟุตบอลอย่างยาวนาน จนปัจจุบันแม้จะอายุถึง 36 ปี เป็นตัวเต็งที่จะเป็นผู้เล่นที่ ยิงสูงสุดในนามทีมชาติ เพราะยังรักษาสภาพร่างกายได้อย่างดี ฟิตพร้อมสมบูรณ์ที่จะลงสนามช่วยทีมได้อีกนาน

ปัจจุบันกำลังพาทีมชาติโปรตุเกส ป้องกันแชมป์ศึกยูโร 2020 โดยรับหน้าที่สวมปลอกแขนกัปตันทีม ล่าสุดเจ้าตัว ซัดไปแล้ว 2 ประตูในรอบแรก รวมแล้วมีสถิติทำประตูสูงสุดตลอดกาล เทียบเท่ากับ อาลี ดาอี วันนี้ทีมงานจะแนะนำผลงานของ โรนัลโด้ ในทีมชาติ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

เส้นทางการติดทีมชาติ ของ โรนัลโด้

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1985 หรือ พ.ศ. 2528 เกิดที่เมือง ฟุนชาล มาไดร่า ประเทศ โปรตุเกส เริ่มเล่นในตำแหน่งปีกและกองหน้า ฉายแววเก่งตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นให้กับสโมสร อันโดรินญ่า และ ย้ายมาร่วมสโมสร นาซิอองนาล ก่อนที่ฟอร์มโดดเด่น

โดยมีสโมสรจากโปรตุเกสยื่นข้อเสนอให้อย่างมากมาย แต่เจ้าตัวเลือกย้ายมาร่วมทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยวัย 12 ปี เข้าร่วมทีมชุดเยาวชน ที่นี่เอง ที่ทำให้เขาพัฒนาฝีเท้ามากขึ้น และขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

ในวัย 17 ปี เจ้าตัวติดทีมชาติโปรตุเกส ตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี 17 ปี ซึ่งรุ่น 17 ปี ได้ลงเล่นในศึกยูโร พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งย้ายไปร่วมสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และติดทีมชาติ รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี 21 ปี

และในที่สุดก็ติดทีมชาติชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ปี 2546 โดยได้ลงสนามในเกมที่ โปรตุเกส ชนะ คาซัคสถาน 1-0 เกมนั้นได้ลงสนาม 45 นาที ก่อนที่ช่วงนึงสลับกับการติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี แต่หลังจากนั้นก็ติดทีมชาติเรื่อยมาแทบไม่เคยขาด จนเป็นกำลังหลักสำคัญและสวมปลอกแขนทีมชาติ

ปัจจุบันลงเล่นให้ทีมชาติไปแล้วถึง 178 นัด เป็นผู้เล่นอันดับหนึ่งที่ทีมชาติขาดไปไม่ได้ ในส่วนแอสซิสต์แรกของ โรนัลโด้ เกิดขึ้นในเกมที่ โปรตุเกส บุกไปเสมอกับ สวีเดน 2-2

จุดเริ่มต้นของการเป็นแข้ง ยิงสูงสุดในนามทีมชาติ

ส่วนประตูแรกของ โรนัลโด้ ในนามทีมชาติ เกิดขึ้นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2004 ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดแรก ซึ่ง โปรตุเกส แพ้ให้กับ กรีซ 1-2 ก่อนที่รอบชิงชนะเลิศจะแพ้ กรีซ อกหักอดเป็นแชมป์ยูโร ซึ่งน่าเสียดายที่ โปรตุเกส เป็นเจ้าภาพในครั้งนั้นด้วย

หลังจากนั้นมา โรนัลโด้ ก็ติดทีมชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเป็นแข้งคนสำคัญ พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านยุคใหม่ของทีมชาติ ส่วนการได้เป็นกัปตันทีม เกิดขึ้นในเกมที่ บุกไปพ่ายแพ้ให้กับ อิตาลี 1-3 ส่วนการทำประตูให้ในนามทีมชาติ แม้ในช่วงแรกๆ ของการติดทีมชาติ ยังเล่นตำแหน่งปีก ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา

แต่ฝีเท้าอันจัดจ้านของเขา ก็ทำประตูช่วยชาติได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเกมสำคัญต่างๆ โรนัลโด้ ฝ่าความกดดันทำประตูมาได้หมด ไฮไลท์อยู่ในเกม รายการคัดเลือกศึกฟุตบอลโลก ปี 2014 ที่ โปรตุเกส เจอกับ สวีเดน โรนัลโด้ทำประตูได้ทั้งสองนัด โดยเกมแรก พาชาติชนะไป 1-0

ส่วนเกมที่สองบุกไปเยือน ซัดแฮทริกเอาชนะ สวีเดน ถึงบ้าน 3-2 พาทีมได้ลุยรายการบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ทว่าน่าเศร้าที่ปีนั้นพวกเขาตกรอบแรก ส่วนยูโร 2016 เจ้าตัวก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ โปรตุเกส คว้าแชมป์มาครอง โดยยิงไป 3 ประตูและแอสซิสต์อีก 3 ลูก แม้เกมสุดท้ายจะเจ็บตั้งแต่ต้นครึ่งแรก เล่นไม่ไหว ก่อนร่ำไห้ในสนามและต้องโดนเปลี่ยนตัวออกมาเชียร์เพื่อนร่วมทีมก็ตาม

ในส่วนของการทำประตูให้ในนามทีมชาติ ต้องบอกว่า โรนัลโด้ ยิ่งอายุเยอะยิ่งยิงกระหน่ำ ไล่ตั้งแต่ปี 2016 จนถึง ปัจจุบัน เจ้าตัวยิงไม่พักเลย จนปัจจุบันวัย 36 ปี สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ ลุยศึกยูโร 2020 ที่ปัจจุบันกำลังนำดาวซัลโวเดี่ยว กดไป 5 ประตู จาก 3 นัดที่ลงสนาม กำลังมีคิวเจอ เบลเยี่ยม ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

โดยตอนนี้ โรนัลโด้ ยิงได้ 109 ประตู จากการลงสนาม 178 นัด มีสถิติเทียบเท่า อาลี ดาอี ตำนานกองหน้าทีมชาติอิหร่าน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำลายสถิติได้อย่างสูง เพราะถึงวัยจะเข้าสู่ 36 ปีเข้าไปแล้ว แต่ด้วยการดูแลร่างกายที่ยอดเยี่ยม ทำให้ โรนัลโด้ ยังคงฟิต บวกกับแพชชั่นในการล่าตาข่าย การไม่ยอมแพ้ยังมีมากเหมือนเดิม

เชื่อว่าเขาจะลงเล่นอยู่ในฟุตบอลระดับสูงไปอีกนาน ซึ่งเชื่อว่าสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลในนามทีมชาติ จะตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน กับชายผู้มีชื่อว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และอย่าลืม พบกับบทความฟุตบอลใหม่ๆ ได้ทุกวัน จากทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA

Posted in บทความฟุตบอล

ทีมชาติอังกฤษ ชุดศึกลุย รายการ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 เป็นอีกหนึ่งทีมเต็งที่น่าจับตามอง โดยการคุมทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เคยพาทีมชาติอังกฤษ ไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศในศึกฟุตบอลโลก ปี 2018 มาแล้ว ซึ่งหนึ่งในนักเตะที่น่าสนใจที่สุดของทีมชุดนี้อย่าง จาดอน ซานโช่ ที่โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงกับต้นสังกัดใน บุนเดสลีกา

แต่ประเด็นที่หลายคนสงสัยคือทำไมเจ้าตัวถึงไม่ได้ลงสนามเลยจาก 2 นัดแรก ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันพอสมควร โดยทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุนี้ ให้เพื่อนลองอ่านกันเพลินๆ

ทำไม จาดอน ซานโช่ ถึงไม่ถูกส่งลงสนามจาก 2 นัดแรก

เป็นเรื่องที่มึนงง ที่ จาดอน ซานโช่ ไม่ได้ลงสนาม ทั้งที่ทำผลงานกับสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยลงสนามทั้งหมด 38 นัด ยิงได้ 16 ประตูและจัดไปอีก 20 แอสซิสต์ แถมยังเป็นนักเตะตัวรุกของทีมชาติอังกฤษที่ทำผลงานส่วนตัวได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2020/21 น่าจะเป็นตัวเลือกเบอร์ 1 ในตำแหน่งปีกขวาทีมชาติอังกฤษ

ทว่า แกเร็ธ เซ้าท์เกต ไมได้ตัดสินใจส่งลงสนาม โดยเกมแรกเจ้าตัวไม่มีชื่อแม้กระทั่งม้านั่งสำรอง ในเกมที่ อังกฤษ เอาชนะ รัสเซีย 1-0 ต่อมาเกมที่สอง เกมที่เสมอกับ สก็อตแลนด์ แบบไร้สกอร์ โดย ซานโช่ นั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง แต่ยังไม่รับโอกาสให้ลงสนาม ซึ่งทำให้แฟนบอลและนักวิจารณ์งงเข้าไปใหญ่

แม้แต่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตกองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังออกมาวิจารณ์ความว่า “ผมไม่เคยสงสัยเลยว่า เรามีผู้เล่นในแนวรุกที่สามารถพลิกเกม และใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ แต่ ซานโช ยังไม่ได้ลงสนามเลย เขาพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่นักเตะที่มีฟอร์มมหัศจรรย์แค่ฤดูกาลเดียว แต่เขาทำมันมากแล้วถึง 3 ฤดูกาล”

“ผมมีความรู้สึกว่า เราสามารถเปลี่ยนรูปเกมได้ด้วยตัวสำรอง แต่เรากลับตัดสินใจช้าเกินไป (เกมกับสกอตแลนด์) ขณะที่หนึ่งในผู้เล่นที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สุดของทีม ตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมากับต้นสังกัด เกมแรกไม่มีชื่ออยู่ในทีม

ส่วนเกมที่สองรองเท้าของเขาไม่เปียกเลยด้วยซ้ำ” “ผมแค่คิดว่า เรามีนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์บางคน ที่แฟนบอลกำลังเรียกร้องและอยากเห็นพวกเขาบนสนาม เราจะสามารถเอาชนะทุกอย่างได้ พวกพวกเขาเล่นในพื้นที่ด้านกว้างมากขึ้น” ริโอ กล่าวอย่างมีอารมณ์อ่อนๆ

ไม่เว้นแม้แต่ซานโช่ แต่อย่าง มาร์คัส แรซฟอร์ด เกมที่สองก็เป็นเพียงตัวสำรอง รวมถึง แจ็ค กริลิช ก็เพิ่งได้ลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมที่เจอกับ สก็อตแลนด์ การที่ ซานโช่ ยังไม่ได้ลงสนาม ส่วนนึงสาเหตุอาจเกิดจากเกมแรก เจ้าตัวยังไม่ฟิตพอหรือร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องพักฟื้นเสียหน่อย

พอเกมที่สองที่อยู่บนม้านั่งสำรองเจ้าตัวอาจจะอาการดีขึ้นแล้ว แต่ตัวกุนซืออยากให้ ซานโช่ ฟิตเต็มที่ อาจจะได้ลงสนามในเกมนัดที่สามก็เป็นได้ หรือไม่ก็ ซานโช่ ยังเล่นไม่เข้าแผนของ แกเร็ธ เซ้าท์เกต โดยปกติ ซานโช่ จะปักหลักในเกมรุกไม่ค่อยลงมาช่วยเกมรับทางกราบข้างเสียเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นเหตุผลนึงให้เจ้าตัวยังอยู่บนม้านั่งสำรองก็เป็นได้

ด้วยฟุตบอลสมัยนี้ ผู้เล่นในตำแหน่งเกมรุกมักจะต้องลงมาช่วยเกมรับอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงแผนของ เซ้าท์เกต ยังไม่แน่นอนเสียเท่าไหร่ รูปแบบการเล่นเหมือนจะดี แต่ก็ยังงงๆ อยู่พอสมควร จากสถานการณ์นี้ทำให้มีคำถามมากมาย ถามถึงตัวกุนซือ ว่าทำไมไม่ส่งแข้งที่น่าจะเพิ่มมิติเกมรุกของทีมชาติให้ดียิ่งขึ้นลงสนาม

ซึ่ง แกเร็ธ เซ้าท์เกต ได้ออกมากล่าวว่า “ในกลุ่มนักเตะเกมรุก เรามีตัวเลือกให้ใช้งานมากมาย เรามีนักเตะดาวรุ่งหลายคน แต่พวกเขามีประสบการณ์ในการเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรก ดังนั้นในฐานะสตาฟฟ์โค้ชเรามีความคาดหวังพวกเขาเป็นการส่วนตัว จาดอน มีส่วนผสมหลายๆ อย่าง เขาฝึกซ้อมได้ดีเยี่ยมในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และแน่นอนว่าเรามีตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับการตัดสินใจว่าจะให้ใครลงสนามในเกมนั้นๆ” เซ้าท์เกต กล่าว แต่จากที่ว่ามา เป็นการตอบคำถามที่กว้างเหลือเกิน

แต่อย่างใดก็ตาม โอกาสที่ จาดอน ซานโช่ ได้ลงสนามอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะเป็นเกมไหน เพราะทัวร์นาเม้นต์สำคัญแบบนี้ ส่วนมากกุนซือจะให้ลงสนามในเกมนัดที่สาม ให้โอกาสผู้เล่นที่ติดทีมมาลงสนาม แต่ก็ยังงงอยู่ดี ว่าทำไม ปีกขวาที่น่าจะเป็นเบอร์ 1 ของทีมชาติอังกฤษ ไม่ได้ลงสนามเสียที

บทสรุป

แม้จะค่อนข้างน่าแปลกใจ ที่ ซานโช่ ยังไม่ได้ลงสัมผัสเกม ยูโร หนนี้ แม้แต่วินาทีเดียว แถมเกมรุกของ สิงโตคำราม ในปัจจุบันถือว่าน่าอึดอัด สองตัวจริงอย่าง โฟเด้น และ สเตอร์ลิง ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเกมบุกของพวกเค้าได้เท่าไหร่นัก จึงทำให้เชื่อว่า โอกาสของเจ้าตัว น่าจะใกล้เข้ามาทุกที

และพวกเรายังมีบทความฟุตบอล และบทวิเคราะห์อื่นๆ มากมาย ไม่อยากให้เพื่อนๆ พลาดสิ่งดีๆ จากพวกเรา จึงขอให้ทุกท่านติดตาม ufa.soccer กันต่อไปเรื่อยๆ สำหรับวันนี้ลาไปก่อน ขอบคุณครับ

Posted in วิเคราะห์บอลวันนี้

วันนี้เราจะพามาย้อนรอย กับทีมชาติในตำนาน ม้ามืด ฟุตบอลยูโร ที่สามารถก้าวไปสู่แชมป์ ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร รอบสุดท้าย ในปี 2004 นั่นก็คือประเทศกรีซนั่นเอง สามารถหักปากกาเซียน ล้มยักษ์ คว้าแชมป์ยูโรมาครองอย่างยิ่งใหญ่ ชนิดที่ว่าไม่มีใครจะเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จ

ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพามาดูเส้นของของประเทศกรีซ ตั้งแต่นัดแรกยันนัดสุดท้ายว่าเป็นอย่างไรบ้าง

จุดเริ่มต้นของตำนาน ม้ามืด ฟุตบอลยูโร

อ็อตโต้ เรห์ฮาเกิล กุนซือชาวเยอรมันนี คือกุนซือที่เคยพา ไกเซอร์สเลาเทิร์น เลื่อนชั้นจากดิวิชั่นสองเพียงแค่ฤดูกาลเดียว ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีก บุนเดสลีกา เยอรมัน เมื่อปี 1998

โดยเจ้าตัวเข้ามาปลุกปั้นทีมชาติกรีซ เมื่อปี 2001 เริ่มสร้างทีมด้วยการ สร้างความสามัคคีให้กับลูกทีม ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะทีมชาติกรีซ ไม่มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อยู่แล้ว

ซึ่งนับตั้งแต่มาคุมทีมในปี 2001 ผลงานของ กรีซ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถผ่านเข้ามาเล่นรายการ ยูโร 2004 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ ต่อมาพวกเขาถูกมองงว่าเป็นเต็งบ๊วยของรายก่ารนี้ ทั้งที่ผลงานก่อนหน้าในรอบคัดเลือก สามารถเป็นแชมป์กลุ่มมาแท้ๆ

ผลงานของทีมชาติกรีซ ในฟุตบอล ยูโร 2004

โดย กรีซ อยู่กลุ่ม เอ ร่วมสายกับ โปรตุเกส เจ้าภาพ, สเปน และ รัสเซีย ดูปัจจัยภายนอกยังไงก็ไม่รอด ทว่าด้วยสไตล์การเล่นของทีม ที่ เรห์ฮาเกิล เน้นเกมรับและรอสวนจังหวะตามสไตล์ของทีมเล็ก เน้นตัดเกม ไม่ให้ทีมคู่ต่อสู้ ทำอะไรได้ถนัด ซึ่งได้ผลดีมาก

เกมนัดแรก พวกเขาสามารถเอาชนะ โปรตุเกส 2-1 เกมนัดที่สองสามารถเสมอกับ สเปน ที่มีแต่สตาร์ดัง นำโดย ราอูล กอนซาเลซ, เฟอร์นันโด โมริเอนเตส, อิเคร์ กาซึยาส หรือ คาร์เลส ปูโยล เป็นต้น ด้วยสกอร์ 1-1

แต่เกมสุดท้ายของรอบแรก พวกเขาพ่ายให้กับ รัสเซีย 1-2 อย่างไรก็ตาม กรีซ หักปากกาเซียนไปแล้วหนึ่งดอก ด้วยการมี 2 คะแนน เข้ารอบเป็นอันดับที่ 2 รองจาก โปรตุเกส ที่มี 6 คะแนน

โดยสมัยนั้น ฟุตบอล ยูโร รอบสุดท้าย มีแค่ 16 ทีมเท่านั้น ซึ่งมี 4 ทีม อยู่ 4 กลุ่ม ทำให้รอบต่อมา เหลือ 8 ทีมเท่านั้นเอง ซึ่ง กรีซ ต้องไปเจอกับ ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแชมป์กลุ่มมาในรอบแรก ซึ่ง ทัพตราไก่ ก็มีแต่สตาร์ดังคับทีม ทั้ง ซีเนอดีน ซีดาน, เธียร์รี่ อองรี, โคล้ด มาเกเลเล่ เป็นต้น

ทว่าด้วยเกมรับที่หนาแน่นของ กรีซ ทำให้พวกเขาล้มยักษ์ เอาชนะ ฝรั่งเศส ไปได้ 1-0 จาก อันเจลอส ชาลิสเตอัส นาทีที่ 65 เป็นประตูชัยในเกมนี้

รอบก่อนรองชนะเลิศ ทีมชาติกรีซ พบกับ สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งยุคนั้น เช็ก มีทั้ง ปีเตอร์ เช็ก, พาเวล เน็ดเว็ด, แยน โคลเลอร์ และ โธมัส โรซิคกี้ ซึ่งครบเครื่องเรื่องเกมรุก ทีมชุดนั้นของ เช็ก ดูดีมากๆ

ทว่าทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรกันได้ จนเกมจบครบ 90 นาที ต้องทำการต่อเวลาพิเศษ โดยนาทีที่ 105 กรีซ ได้กระทำการเหลือเชื่ออีกครั้ง เมื่อ ตราอินอส เดลลาส สามารถทำประตูชัยได้สำเร็จ

ซึ่งต่อเวลาครบ 120 นาที กรีซ เอาชนะ เช็ก ไปได้ 1-0 พร้อมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ตอนนี้พวกเขาเป็นม้ามืดเต็มตัวแล้ว หลายสื่อ หลายสำนัก เริ่มเทใจเอาใจช่วยพวกเขาแล้ว

นัดชิง ยูโร 2004 ที่ยังเป็นตำนานมาจนถึงปัจจุบัน

นัดสุดท้ายรอบชิงชนะเลิศ เป็นการโคจรกลับมาพบกันระหว่าง สองทีมจากกลุ่ม เอ เจ้าภาพ โปรตุเกส ที่ล้ม ทีมชาติอังกฤษ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และ เนเธอร์แลนด์ รอบรองชนะเลิศ นำทัพด้วยนักเตะระดับสตาร์และนักเตะคุณภาพอย่างคับคั่ง ทั้ง หลุยส์ ฟีโก้, เดโก้, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, รุย คอสต้า หรือจะเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สมัยวัยรุ่น

โดยเกมเริ่มมา โปรตุเกส ที่เป็นเจ้าภาพและได้เล่นในบ้านตัวเอง จัดหนักจัดเต็ม โหมเกมรุกบุกใส่ กรีซ ชนิดที่ว่า หายใจไม่ทั่วท้อง ตั้งเกมไม่ได้เลย ต้องอาศัยจังหวะตั้งรับและรอสวนกลับอย่างอดทน แม้ โปรตุเกส จะได้บุกยับๆ ทว่าครึ่งแรกยังทำอะไรไม่ได้ เสมอกันไปก่อน 0-0

ต่อมาครึ่งหลัง โปรตุเกส ยังบุกยับเหมือนเดิม ทว่านาทีที่ 57 กรีซ ได้ประตูออกนำจาก อันเจลอส ชาริสเตอัส โขกทำประตูได้จากลูกเต็มมุม หลังจากนั้นมา กรีซ อุดยับ อุดแบบชวนหงุดหงิดใจ สำหรับ โปรตุเกส ซึ่งเป็นเจ้าภาพก็พยายามเต็มที่แล้ว ทำได้เพียงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเท่านั้น จนจบเกม 90 นาที กรีซ สร้างเทพนิยายตำนานบทใหม่ สามารถเอาชนะ โปรตุเกส เจ้าภาพ ไปได้ 1-0 พร้อมคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่

ซึ่งยังเป็นเรื่องที่พูดกันถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ รายการ ยูโร รอบสุดท้าย ทำการแข่งขัน มักจะมีพูดถึงประมาณว่า จะมีทีมไหน เป็นม้ามืด อยู่เป็นประจำ ซึ่งแม้วันรอบนี้ กรีซ จะไม่ได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้วก็ตาม แต่แชมป์ยูโร 2004 จะคงเป็นประวัติศาสตร์ต่อไป

Posted in บทความฟุตบอล

ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นอกจากการแข่งขันที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ กับทัวร์นาเม้นต์การแข่งขันฟุตบอล ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ยูโร 2020 นั่นก็คือ ใครจะเป็นตัวเต็งที่จะคว้ารางวัล ดาวซัลโวในการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ไปครอง ซึ่งวันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA ได้คัด 5 ตัวเต็ง ดาวซัลโว ยูโร 2020 ที่จะคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครอง จะมีรายชื่อไหนตรงใจเพื่อนๆ หรือไม่ เรามาติดตามดูกันเลยครับ

แต่ก่อนอื่น ถ้าเพื่อนๆ อยากเดิมพันสนุกๆ ว่า ใครจะเป็นดาวซัลโวกันแน่ เวปไซต์ Ufabet ได้เปิดรับ เดิมพัน ดาวซัลโว ด้วยนะครับ อยากให้เพื่อนๆ ลองเข้าไปทายกันได้

มีโอกาสได้กำไร เป็นกอบเป็นกำแบบไม่รู้ตัวอีกด้วย หรือจะเดิมพันบอลเดี่ยว บอลชุด กับรายการนี้ก็ได้ครับ มีเลือกเล่นแบบครบวงจร เรียกได้ว่า ยกมาอยู่บนหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ส่งตรงถึงคุณเลยครับ

5 ตัวเต็ง ดาวซัลโว ยูโร 2020

5. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ โคตรกองหน้าจากสโมสรบาเยิร์น มิวนิค และ ทีมชาติโปแลนด์ เพิ่งผงาดคว้ารางวัล ดาวซัลโว ด้วยเจ้าของสถิติ 41 ประตู ในบุนเดสลีกา แซงสถิติ แกร์ท มุลเลอร์ ได้สำเร็จ พร้อมพาต้นสังกัดบาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ลีกไปได้อีกสมัย

ผลงานจากสโมสรยังสุดยอด ทว่าผลงานในทีมชาติ แน่นอนว่า เจ้าตัว อันตรายอยู่แล้ว เสียดายที่สภาพแวดล้อมเพื่อนร่วมชาติไม่เอื้ออำนวนเหมือนตอนอยู่กับสโมสร ที่มีแข้งระดับพระกาฬพร้อมช่วยเหลือ

แน่นอนว่า ใครที่เจอกับ โปแลนด์ ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ เลวานฯ ทำอะไรได้ถนัดอยู่แล้ว โดนประกบติดตามเป็นเงาแน่นอน ด้วยเหตุนี้อาจทำให้เจ้าตัวไม่สามารถผลิตสกอร์ช่วยชาติได้เป็นกอบเป็นกำ

เพราะเจ้าตัวยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้ารายเดียวอยู่แล้ว แถมแข้งด้านหลังก็ไม่ดีพอที่จะสามารถซัพพอร์ตช่วยจ่ายบอล ให้เจ้าตัวหาจังหวะจบสกอร์ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ เลวานดอฟสกี้ จึงเป็นเต็งห้าของเรา

4. แฮร์รี่ เคน

อย่าเพิ่งด่ากันนะครับ สำหรับอันดับ 5 นั่นก็คือ ดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีมชาติอังกฤษคนปัจจุบันและโคตรกองหน้าของสโมสร ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ รายนี้ ผลงานการลงเล่นให้ทีมชาติ 55 นัด ยิงได้ 34 ประตู ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นเต็งหนึ่งในสามด้วยซ้ำ

ยังไม่รวมรางวัลดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020/21 ที่เจ้าตัวซัดไป 23 ประตู อีกทั้งบอลโลกปี 2018 คว้ารางวัลดาวซัลโวหลังกดไป 6 ประตู ทำไมเจ้าตัวถึงอยู่อันดับที่ 4 ก็เพราะว่า แผนการเล่นของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ตอนนี้ยังต้องจูนทัพพอสมควร

แม้แข้งส่วนใหญ่จะดูดีมีความหวังมากกว่ายุคที่สตาร์เต็มที่ แต่ผลงานไม่เข้าตา ซึ่งนักเตะหลายรายต้องการพิสูจน์ตัวเอง ด้วยความกำลังมั่นใจ อาจทำให้ทีมเวิร์คอาจขาดหายไป มีความเห็นแก้ตัวบ้างในบางจังหวะ อย่างไรก็ตาม แฮร์รี่ เคน ไม่ใช่จะไม่มีโอกาสในการทำประตู ซึ่งลูกจุดโทษเจ้าตัวก็เหมาอยู่แล้ว แถมอย่าให้เขามีช่องว่างในการทำประตู

ซึ่งก็อยู่ที่ว่า 11 ตัวจริงของทีมชาติอังกฤษจะนิ่งพอหรือยัง เพราะจากที่ดูแล้ว ตัวกุนซือน่าจะปวดหัวในการจัดทัพพอสมควร ถ้าหากเลือกตัวผู้เล่นที่ลงตัวได้เมื่อไหร่ โอกาสที่ เคน มีโอกาสได้ดาวซัลโวมีสูงอยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงให้อยู่เต็ง 4 ไปก่อน

3. คริสเตียโน่ โรนัลโด้

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่มีอะไรที่ต้องสงสัยว่าทำไมเขายังอยู่เต็งสาม แนวรุกที่อายุอานามจะเข้าสู่วัย 36 ปีเข้าไปแล้ว แต่ยังรักษาสภาพความฟิตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แถมเจ้าตัวสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ ยังกระหายชัยชนะไม่หยุดหย่อน พร้อมยิงประตูได้ทุกโอกาส ได้ไม่สนใจใคร แข้งเพื่อนร่วมชาติต้องหาจังหวะประเคนหรือจ่ายบอล ให้เจ้าตัวสับไกได้ตามใจชอบอยู่แล้ว

ปัจจุบัน โรนัลโด้ ยังคือทุกอย่างของ โปรตุเกส โดยเฉพาะทัวร์นาเม้นต์สำคัญในช่วงหลัง อย่างฟุตบอลยูโร 2016 ฟุตบอลโลกปี 2018 เจ้าตัวแบกจนหลังแอ่น แต่ยังดีที่ขุมกำลังชุดปัจจุบัน มีแข้งหน้าสนใจหลายรายและพร้อมจะเล่นอย่างเข้าขากับ กัปตัน อยู่แล้ว

โดยเฉพาะ บรูโน่ เฟร์นานเดส ที่พร้อมจะแอสซิสต์ถวายพานได้ทุกเมื่อ รวมถึง น้องเล็กอย่าง ชูเอา เฟลิกซ์ ยังมีความเกรงใจให้ลูกพี่อยู่บ้าง อาจจะส่งบอลให้ กัปตันทีม ของเขาทำประตูในจังหวะที่ควรจะจ่ายให้

2. คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้

เต็งหนึ่งของปีนี้ คือ ฝรั่งเศส ดีกรีแชมป์โลกปี 2018 เมื่อกางรายชื่อนักเตะดูแล้ว แกร่งจนไม่รู้จะแข็งแกร่งยังไง นี่ขนาดนักเตะที่โดนตัดรายชื่อออกไป ศักยภาพยังเหนือกว่าบางชาติด้วยซ้ำ เมื่อกลางดูตำแหน่งมิดฟิลด์ โอ้โห มีให้เลือกใช้หลายราย นักเตะทุกคนเรียกว่าเวิร์ลคลาส

แล้วแบบนี้ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ จะไม่ถูกตั้งให้เป็นเต็งสองที่จะคว้าดาวซัลโวได้อย่างไร สำคัญที่สุด เอ็มบัปเป้ เอง เป็นนักเตะเล่นสไตล์ชงเองกินเอง ได้อยู่แล้ว ด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด การเลี้ยงบอลที่ยากจะหยุดยั้ง พร้อมจังหวะจบสกอร์ที่เฉียบคมใช้ได้ เจ้าตัวแทบไม่ต้องพึ่งพาใคร

ขอแค่แดนกลางด้านหลังของเขา ยืนตำแหน่งดี จ่ายบอลมาให้เขา เขาพร้อมจะจบงานด้วยตัวเอง ยังไม่รวมกองหน้าที่จะเจ้าตัว จะได้เล่นคู่กันอีก ทั้ง เบนเซม่า หรือ กรีซมันน์ เองก็ตาม พวกนี้ไม่มีหวงบอลกันอยู่แล้ว

ตรงนี้ก็อยู่ที่ว่า เอ็มบัปเป้ จะยังรักษามาตรฐานเดิมได้หรือไม่ เหมือนตอนที่ทำได้ในศึกฟุตบอลโลกปี 2018 ได้หรือเปล่า ในเกมที่ฝรั่งเศส จะพบ เยอรมัน ต้องมาดูกันอีกทีว่า กองหน้าแห่งอนาคตรายนี้ จะสร้างความแตกต่างอะไรได้บ้างไหม

1. โรเมลู ลูกากู

จงอย่าได้หาเทียบฟอร์มตอนอยู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะตอนนี้ ลูกากู กับผลงานใน อินเตอร์ มิลาน มันบ่งบอกทุกอย่างแล้ว น้ำหนักตัวที่ลดลง การจับบอลดูที่ดีขึ้น แต่จังหวะจบสกอร์ที่เรียกว่ารับหยุดให้กับ อินเตอร์ฯ พร้อมพาทีมเถลิงแชมป์สคูเต็ตโด้ได้อย่างยิ่งใหญ่

เป็นดาวซัลโวของทีม ซัดไป 30 ประตูจาก 44 นัดรวมทุกรายการ แถมศึกฟุตบอลยูโรครั้งนี้ ทีมชาติเบลเยี่ยม เป็นหนึ่งในทีมเต็งเหมือนกัน ลูกากู คือเบอร์หนึ่งในตำแหน่งกองหน้าอยู่แล้ว เมื่อหันไปมองด้านหลัง มี เควิน เดอ บรอยน์ และ ยูริ ติเลอมองส์ คอยสนับสนุนในการจ่ายบอล สร้างสรรค์เกมรุกให้ ลูกากู หาจังหวะใส่สกอร์

ยังไม่รวม สองพี่น้องอาซาร์ ที่คอยสนับสนุนด้านข้าง หรือจะ ยานนิก การ์ราสโก้ ก็ไม่ได้มีความหวงบอลแต่อย่างใด เรียกได้ว่า ลูกากู มีผู้สนับสนุนที่แทบจะเพรียบพร้อมไม่ต่างจาก เอ็มบัปเป้ กับฝรั่งเศส เผลอๆ อาจจะดีกว่าเล็กน้อยอีกด้วย

ซึ่งเกมแรก ลูกากู เอง ซัดไปสองประตู ในนัดที่ เบลเยี่ยม ถล่ม รัสเซีย 3-0 ไปแล้วด้วย แล้วแบบนี้ เต็งหนึ่งจะหนีเจ้าตัวไปไหนได้ แต่ไม่ใช่ว่ายิงนัดเดียวแล้วไม่ยิงอีกเลย อะไรก็เกิดขึ้นได้

บทสรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับ 5 ตัวเต็ง ที่ทีมงานคัดมาเน้นๆ มีตรงใจเพื่อนๆ กันบ้างไหม แต่ถ้ายังไม่ตรงใจ อยากจัดด้วยตัวเอง ทีมงานขอแนะนำ เวป Ufabet มีการเดิมพันให้ลุ้นกันว่า ใครจะเป็นดาวซัลโว กับศึก ยูโร 2020 นี้ รับรองว่าสนุกแน่ครับ ทายถูกเตรียมรับทรัพย์กันได้เลย แล้วกับกันใหม่กับบทความหน้าครับ

Posted in บทความฟุตบอล