ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 ได้รูดม่านปิดฉากลงไปแล้ว จบลงด้วย พลพรรค “อัซซูรี่” ทีมชาติอิตาลี จากทีมเต็ง 7 ผงาดก้าวมาเป็นแชมป์ได้สำเร็จ หลังจากชนะในการ ดวลจุดโทษ ทีมชาติอังกฤษ ด้วยสกอร์ 3-2 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติรวมช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-1 โดยชนะได้ถึง เวมบลี่ย์ สเตเดี้ยม สนามในถิ่นลอนดอน ประเทศอังกฤษ กันเลยทีเดียว เรียกว่าหลังจากจบเกมฮูลิแกนแผลงฤทธิ์กันยับ

แต่วันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพูดถึง การดวลจุดโทษของอังกฤษ ซึ่งพวกเขาไม่ค่อยจะสมหวังเท่าไหร่นัก เรามาดูกันว่า รายการทัวร์นาเม้นต์สำคัญ อังกฤษ ผลงานการดวลจุดโทษของทีมชาติอังกฤษเป็นอย่างไรกันบ้าง

ผลงาน ดวลจุดโทษ ทีมชาติอังกฤษ

ถือว่าน่าผิดหวังสุดๆ หากดูสถิติ ดวลจุดโทษ ทีมชาติอังกฤษ เมื่อผลงาน 10 ครั้งที่ผ่านมา พวกเขาดวลจุดโทษชนะเพียงแค่ 3 ครั้ง แต่แพ้ไปถึง 10 ครั้งด้วยกัน โดยเราจะขอย้อนสถิติสำหรับรายการใหญ่ๆ ด้วยกัน 7 ครั้ง ทั้งรายการ ฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร และ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก

ฟุตบอลโลก 1998

อริตลอดกาลอีกหนึ่งชาติ สำหรับ อังกฤษ นั่นก็คือ เยอรมัน ซึ่งดราม่าคนสงสัยว่าทำไมสองชาตินี้ไม่ค่อยถูกกัน เหตุการณ์มันเกิดจากตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทำให้ทั้งคู่ต่างมองว่าเป็นศัตรูของกันและกัน แต่ปัจจุบันก็ได้เพลาๆ ลงไปเยอะแล้ว เพราะ อังกฤษ แพ้ เยอรมัน มากกว่านั่นเอง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในศึก ยูโร 1996 ที่ อังกฤษ เป็นเจ้าภาพ ดวล เยอรมัน รอบรองชนะเลิศ อังกฤษ นำโดย อลัน เชียร์เรอร์, พอล อินซ์, พอล แกซคอยน์, โทนี่ อดัมส์, เท็ดดี้ เชอร์ริ่งแฮม, รอบบี้ ฟาวเลอร์ และ แกเร็ธ เซาธ์เกต ส่วน เยอรมัน ตอนนั้นมี มาร์คุส บับเบิ้ล, อันเดรส โมลเลอร์, เมห์เม็ต โชล และ สเตฟเฟน ฟรอนด์ โดยเกมนี้ อังกฤษ นำไปก่อนจาก อลัน เชียร์เรอร์ แต่ต่อมา สเตฟเฟ่น คุนซ์ ตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนที่ทั้งสองทีมจะทำอะไรกันไม่ได้ทั้งเวลาปกติและช่วงต่อเวลาพิเศษ จึงต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่าดวลกันสนุก สุดท้ายแล้ว เยอรมัน เอาชนะ อังกฤษ 7-6 โดยคนที่ยิงพลาดคนเดียว นั่นก็คือ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ ซัดพลาดคนเดียว เป็นตราบาปกันไปเลย

ฟุตบอลยูโร 1996

อังกฤษ ดวลกับ ทีมชาติอาร์เจนติน่า ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยขุนพลทรีไลอ้อนส์ ชุดนั้น ประกอบไปด้วย นักเตะชั้นนำมากมาย ทั้ง อลัน เชียร์เรอร์, ไมเคิ่ล โอเว่น ที่กำลังมาแรง, เดวิด เบ็คแฮม, พอล สโคลส์, แกรี่ เนวิลล์ และ แกเร็ธ เซาท์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ คนปัจจุบัน ส่วน อาร์เจนติน่า มี กาเบรียล บาติสตูต้า, ดิเอโก้ ซิเมโอเน่, เซบานเตียน เวรอน, ฮาเวียร์ เซเน็ตติ, เอร์นาน เคสโป และ โรเบร์โต้ อยาล่า โดยเกมเวลาปกติมีดราม่ามากมาย บาติสตูต้า ทำประตูให้ อาร์เจนติน่า นำไปก่อน ทว่า อังกฤษ ได้สองประตูรวดจาก เชียร์เรอร์ และ โอเว่น ซัดคนละตุง ทว่าท้ายครึ่งแรก เซเน็ตติ ทำประตูตีเสมอ ส่วนครึ่งหลัง เบ็คแฮม โดนใบแดงถูกไล่ออกจากสนาม หลังจากนั้นทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ รวมต่อเวลาพิเศษ จึงต้องตัดสินด้วยการดวลลูกจุดโทษ ผลปรากฏว่า อาร์เจนติน่า เอาชนะ อังกฤษ ไปได้ 6-5 ในการดวลลูกจุดโทษ

ฟุตบอลยูโร 2004

โปรตุเกส กับ อังกฤษ เกมนี้คือจุดเริ่มต้นของความดราม่าเช่นกัน ในศึกยูโร 2004 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย อังกฤษ ชุดนี้เต็มเปี่ยมด้วยสตาร์ดัง นำโดย เวร์น รูนี่ย์, ไมเคิ่ล โอเว่น, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, พอล สโคลล์, เดวิด เบ็คแฮม เป็นต้น ส่วน โปรตุเกส นำโดย หลุยส์ ฟีโก้, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เดโก้, คอสตินญ่า, รุย คอสต้า และ เดเนี่ยล คาวัลโญ่ โดยเกมนี้ อังกฤษ นำไปก่อนจาก ไมเคิ่ล โอเว่น ส่วน โปรตุเกส ตีเสมอจาก เอลเดอร์ ปอสติก้า จบเวลาปกติเสมอ 1-1 ช่วงต่อเวลาพิเศษ โปรตุเกส นำได้จาก รุย คอสต้า ส่วนอังกฤษ ไล่เสมอจาก จอห์น เทอร์รี่ จบเวลาต่อเวลาพิเศษ ต้องดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่า ดวลกันสุดมัน โดย โปรตุเกส ชนะ อังกฤษ 8-7 เป็นอีกครั้งที่ อังกฤษ ต้องพบความผิดหวัง ทั้งที่มีนักเตะระดับสตาร์เต็มทีมไปหมด

ฟุตบอลโลก 2006

รอบนี้ อังกฤษ มีคิวดวลกับ โปรตุเกส รอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมนี้ดราม่าอีกแล้ว อังกฤษ ชุดนี้ มีนักเตะดังๆ ประดับทีมคับคั่ง นำโดย เวร์น รูนี่ย์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, เดวิด เบ็คแฮม, ไมเคิ่ล โอเว่น, ริโอ เฟอร์ดินาน, จอห์น เทอร์รี่, แกรี่ เนวิลล์ และ แอชลี่ย์ โคล รวมถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็ติดทัพ ดวลกับ โปรตุเกส นำโดย หลุยส์ ฟีโก้, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เมนิเช่, เดเนี่ยล คาวัลโญ่, เปาเลต้า, เดโก้ และ ซิเมา โดยทั้งเกม 90 นาทีและช่วงต่อเวลาพิเศษไม่มีทีมไหนทำประตูกันได้ แต่ในเกมใส่กันยับ มีดราม่าเกิดขึ้นเมื่อ เวร์น รูนี่ย์ โดนใบแดงถูกไล่ออกจากสนาม แถมมีภาพว่า โรนัลโด้ เพื่อนร่วมสโมสรยิ้มอย่างรู้ใจให้กับเพื่อนร่วมชาติ ตอนนั้นมีข่าวหนักหน่วงว่าทั้งคู่บาดหมางกันในๆ ในตอนกลับไปรับใช้สโมสร เข้าเรื่องกันต่อ ผลสุดท้ายต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งโปรตุเกส เอาชนะ อังกฤษ 3-1 โดย อังกฤษ ยิงเข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ตกรอบแบบเซ็งๆ

ฟุตบอลยูโร 2012

อังกฤษ ในชุดนี้เริ่มเป็นชุดเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่ รอบ 8 ทีมสุดท้าย อังกฤษ พบ อีตาลี โดย อังกฤษ นำโดย เวร์น รูนี่ย์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, จอห์น เทอร์รี่, แอชลี่ย์ โคล และ แดนนี่ เวลเบ็ค ส่วน อิตาลี จัดเต็ม ขุมกำลังดูดีกว่า นำโดย มาริโอ บาโลเตลลี่, อันเดรีย ปิร์โล่, เด รอสซี่, จานลุยจิ บุฟฟ่อน, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ โดยเกมนี้ อิตาลี เหนือกว่า อังกฤษ อย่างมาก แต่ทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ ทั้งเวลาปกติ 90 นาทีและช่วงต่อเวลาพิเศษ ผลสุดท้ายต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษกัน ซึ่งแน่นอนว่า อิตาลี เอาชนะ อังกฤษ ไปได้ 4-2 เรยีกว่า อิตาลี เป็นเต้ยในการดวลจุดโทษกันอยู่แล้ว อีกครั้งที่ อังกฤษ ต้องอกหักปาดน้ำตาตกรอบกันไป

ฟุตบอล ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2018/19

เป็นศึกชิงอันดับที่ 3 โดยเกมนี้ ทีมชาติอังกฤษ พบ กับทีมชาติสวิตเซอร์แลนต์ อังกฤษ ในยุคสายเลือดใหม่ นำโดย แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ริ่ง, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, แฮร์รี่ แม็คไกว์ เป็นต้น ส่วน สวิตเซอร์แลนด์ นี่ก็คือชุดที่ดีที่สุดของพวกเขา นำโดย เซอร์ดาน ชากีรี่, กรานิต ชาก้า, ฮาริส เซเฟโรวิช, ยานน์ ซอมเมอร์ ผลปรากฏว่าทั้งเวลาปกติ 90 นาทีและช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้งสองทีมสู้กันอย่างสูสี กินกันไม่ลง เสมอกันไป 0-0 จึงต้องตัดสินด้วยการดวลลูกจุดโทษ ซึ่ง ครั้งนี้ อังกฤษ ทำได้ เอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ไปได้ 6-5 โดย อังกฤษ ยิงไม่พลาดเลยแม้แต่คนเดียว ดูเหมือนว่ายุคใหม่ของพวกเขากำลังไปได้ดีในการดวลลูกจุดโทษ

ฟุตบอลยูโร 2020

ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ กับความเจ็บปวดที่รวดร้าวสุดแสนสาหัส ของ อังกฤษ รวมถึงดราม่าน่ารังเกียจมากมายหลังจบการแข่งขันนี้ อังกฤษ ที่เพรียบพร้อมทุกอย่าง บททุกอย่างที่ผ่านมา ดูเหมือนจะทำให้พวกเขาน่าจะก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์ ทั้งนัดชิงที่ได้เล่นในบ้านเกิดของตัวเอง ทว่าเกมนี้ พวกเขา เจอกับ อิตาลี ทีมมาแรงแซงทางโค้ง ด้วยสไตล์การเล่นเน้นเกมรุก สุดเร้าใจ ขุนพลของ อังกฤษ นำโดย แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ริ่ง, ลุค ชอว์, คาลวิน ฟิลิปป์, แฮร์รี่ แม็คไกว์ เป็นต้น ส่วน อิตาลี นำโดย ชิโร่ อิมโมบิเล่, จอร์จินโญ่, มาร์โก้ แวร์รัตติ, จอร์จิโอ คิเอลเลนี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชิ และ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า เกมนี้ อังกฤษ เปิดตัวได้สวย ได้ประตูนำไวจาก ลุค ชอว์ ทว่า อังกฤษ ยิ่งเล่นยิ่งแผ่ว อิตาลี มาแรงกว่า จนได้ประตูตีเสมอจาก โบนุชชี่ จบเกม 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ช่วงเวลาต่อพิเศษ ทั้งสองทีมก็ทำอะไรไม่ได้จึงต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่า อิตาลี พลิกมาชนะ อังกฤษ 3-2 โดย สามคนหลังของอังกฤษ มาร์คัส แรซฟอร์ด, จาดอน ซานโช่ และ บูกาโย่ ซาก้า ยิงพลาดหมด เรียกได้ว่าโคตรดราม่า อังกฤษ ก็ยังไม่สามารถเป็นแชมป์ยูโรได้เลยสักครั้ง ผิดหวังกันทั้งประเทศ

Posted in บทความฟุตบอล

Football’s Coming Home คงเป็นวลียอดฮิตอันดับที่ 1 ของฟุตบอล ในปัจจุบันแบบปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งไอ้เจ้าวลีที่ว่านี้มีความหมายว่ายังไง และที่มาของมันคืออะไร เชื่อว่าแฟนบอลหลายคน รวมถึงแฟนบอลของทีม สิงโตคำราม ทีมชาติอังกฤษ เองก็ด้วย

วันนี้ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพามารู้จักที่มาที่ไปของวลีนี้ ทำไมถึงได้รับความนิยม จนถึงปัจจุบัน สำหรับการแข่งขันฟุตบอล ทีมชาติอังกฤษ โดยเฉพาะรายการรอบสุดท้าย อย่าง ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลยูโร ที่เหล่าแฟนบอลของ ทรี ไลออนส์ ร้องกันเป็นประจำ

Football’s Coming Home มีที่มาอย่างไร

Three Lions (Football’s Coming Home) คือเพลงเชียร์ฟุตบอลของ ทีมชาติอังกฤษ โดยเพลงนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1996 ทุกครั้งที่ อังกฤษ เข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลทีมชาติ ไม่ว่าจะรายการไหน บทเพลงนี้ แฟนบอลสิงโตคำราม พร้อมส่งเสียงร้องดังกึกก้องอยู่เสมอ ด้วยเนื้อความหมายเพลง ประมาณว่า จะเอาแชมป์กลับบ้านเกิดของฟุตบอล อะไรอย่างนี้นั่น้อง

โดยเพลงนี้เป็นเพลงเอกของ กองเชียร์ทีมชาติอังกฤษ เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่ขาดไม่ได้ แฟนบอลทุกคน พร้อมช่วยร้องกันดังสุดเสียง ไม่ว่าจะอยู่ในสนาม หรือด้านนอก ที่บาร์ต่างๆ แม้ทีมชาติอังกฤษเอง จะไม่ประสบความสำเร็จกับรายการทัวร์นาเม้นต์ซักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่คว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1966 มาแล้ว แต่เพลงนี้แฟนบอลอังกฤษ ยังเอามาร้องเป็นประจำ ด้วยความหวังของพวกเขา ที่จะเห็นชาติของตนเองคว้าแชมป์สักที

ต้นกำเนิดเพลงยนี้เกิดจาก ปี 1996 ซึ่งประเทศอังกฤษได้เป็นเจ้าภาพ ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 1996 นั่นเอง โดยได้กลับมาเป็นเจ้าภาพรายการสำคัญอีกครั้งหลังจาก ปี 1966 พวกเขาเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลก และสามารถคว้าแชมป์โลก ด้วยเหตุนี้ แฟนบอลจึงมีความหวังว่า แชมป์อาจจะตกอยู่ในมือพวกเขาอีกครั้ง เหมือนเมื่อปี 1966 ที่พวกเค้าเคยทำได้

ต่อมาด้วยการเป็นเจ้าภาพ ก็ต้องมีเพลงเชียร์ประจำทัวร์นาเม้นต์ ในปีนั้นทาง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ก็ได้พยายามคัดเลือกศิลปิน ที่จะมาทำเพลงให้กับการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งศิลปินหลายท่านก็อาสาแต่งเพลง ปลุกใจต่างๆ ให้กับทีมชาติ ทว่าเพลงที่ดีและดังที่สุดคือเพลง Three Lions จาก วง The Lighting Seeds ร่วมกับ เดวิด แบดเดิล และ แฟรงค์ สกินเนอร์ ศิลปินตลก ร่วมกันรังสรรค์เพลงนี้ขึ้นมา

จุดเริ่มต้นของวลีสุดเฟี้ยว

ซึ่งคราวแรกที่ได้เปิดให้เอฟ เอ กับ นักเตะทีมชาติอังกฤษฟัง ผลตอบรับไม่ค่อยจะดีนัก แต่เมื่อตัวศิลปินได้พยายามอธิบายความหมาย ที่มาของเพลง ให้บรรดากุนซือและนักเตะทีมชาติอังกฤษ ผลตอบรับก็ดีขึ้น รวมถึงสมาคมก็ตกลงที่จะเลือกเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่จะใช้ เมื่อถึงเวลาที่เพลงนี้ถูกเผยแพร่ ผลกระทบสู่ผู้ฟัง ถือว่าประสบความสำเร็จสุดขีด ทะยานขึ้นชาร์ทเพลงอันดับหนึ่งบนเกาะอังกฤษได้สำเร็จ

ยิ่งกับเกมที่ อังกฤษ เอาชนะ สกอตแลนด์ ทีมร่วมสหราชอาณาจักร หลังจบเกมดีเจในสนามได้เปิดเพลงนี้และแฟนบอลทั่วสนามต่างร้องเพลงนี้กันดังกึกก้องสุดเสียง เป็นเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากและบ่งบอกได้ดีว่าเพลงนี้ประสบความสำเร็จมากเพียงไหน เนื้อหาของเพลงนี้ไม่ใช่แค่ว่าจะเอาถ้วยแชมป์กลับสู่แผ่นดินที่เป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล

แต่ผู้แต่งแฝงความหมายที่ไปในทิศทางเดียวกับแฟนบอล ว่าพวกเขามีความหวังที่จะได้เห็นชาติบ้านเกิดคว้าแชมป์ให้ได้นั่นเอง แต่ความหวังที่ว่านั่น ยังไม่เคยได้เกิดขึ้นเลยตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 1966 โดยหลังจากทัวร์นาเม้นต์ยูโรปี 2000 เพลง Three Lions ก็เริ่มซบเซาลงบ้าง เพราะแฟนบอลเจอแต่ความผิดหวัง ที่ทีมชาติอังกฤษไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ ไม่แม้แต่ที่จะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศสักทัวร์นาเม้นต์เดียว

แต่แล้วเมื่อฟุตบอลโลกปี 2018 วลี และเพลงเชียร์เพลงนี้ ได้ถูกร้องกึกก้องอีกครั้งจากแฟนบอลชาวอังกฤษ ที่พร้อมร้องกันดังกึกก้อง ด้วยขุนผลชุดนั้น แม้จะไม่มีสตาร์ดังมากมายเท่ากับสมัยก่อน ทว่าพวกเขาจบอันดับที่ 4 ของฟุตบอลโลกในปี 2018 ได้สำเร็จ

แม้จะน่าผิดหวัง แต่เป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างมาก จนมาในปัจจุบันวลีดังกล่าว กลับมาฮิตสุดขีด จนแฟนบอลทั่วโลกรู้จักกับคำนี้และเพลงนี้เป็นอย่างดี โดยเห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มการแข่งขันของทีมชาติอังกฤษทุกชุด รวมถึงเกมล่าสุดที่ อังกฤษ สามารถล้างแค้น เอาชนะ ทีมชาติเยอรมัน ได้สักที หลังจากสถิติเป็นรอง ผิดหวังมาตลอดโดยเฉพาะรายการทัวร์นาเม้นต์

เสียงเชียร์ และเพลงดังกล่าว ดังกึกก้องไปหมด แถมเส้นทางในการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของอังกฤษ ก็ดูจะไม่ยากเย็นไปนักแต่ก็ประมาทไม่ได้ ที่สำคัญ สนามชิงชนะเลิศของยูโร 2020 คือสนาม เวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษอีกด้วย

ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่เพลงนี้กลับมากึกก้อง ในหมู่แฟนบอลชาวอังกฤษ และแฟนบอลทั่วโลก น่าสนใจว่าพวกเขาจะทำได้หรือไม่ เพราะทัวร์นาเม้นต์ครั้งนี้ พวกเขาดูพร้อมและเส้นทางที่เหลือ ดูเป็นใจให้พวกเขามากเหลือเกิน เรามาติดตามกันว่า พวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ถ้าอยากติดตามไปด้วย ได้ลุ้นไปด้วย ได้กำไรไปด้วย ขอแนะนำ ufabet เวปพนันที่ดีที่สุด มั่นคงที่สุด ครับ

Posted in บทความฟุตบอล

ศึกยูโร 2020 เข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแล้ว โดยมีทีมที่น่าสนใจแข่งขันกันหลายคู่ ให้ติดตามรับชมกันอย่างสนุกจุใจ กันเช่นเคย แต่คู่ที่น่าสนใจมากที่สุด ก็คือคู่ของ อังกฤษ vs เยอรมัน โดยทาง ทีมชาติอังกฤษ จะเปิดสนามเวมบลีย์ ต้อนรับการมาเยือนของ ทีมชาติเยอรมัน โดยคู่นี้มองผิวเผินคือสองชาติยักษ์ใหญ่มาเจอกัน

แต่เรื่องราวลึกลงกว่านั้น มีความน่าสนใจและดราม่าอย่างมากมายในอดีต ทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA จะพาเพื่อนๆ มาเจาะลึก ถึงเรื่องราวนี้ ว่ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

ก่อนที่จะไป ขอแนะนำ เวป ufabet เวปพนันออนไลน์ที่มั่นคง ปลอดภัย มากที่สุด พร้อมบริการ ตลอด 24 ชั่วโมง มีให้เล่นทุกอย่าง มาพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองได้ครับ

ย้อนรอย อังกฤษ vs เยอรมัน คู่อาฆาตประจำทวีปยุโรป

อังกฤษ และ เยอรมัน คือโปรแกรมที่น่าจับตามองมากที่สุดในรอบ 16 ทีม เพราะดราม่าและความแค้นในอดีต ยังไม่เคยเลือนหายไป จุดกำเนิดเริ่มต้นจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งสองชาติอยู่กันคนละฝั่ง มีเรื่องราวกันมากมาย แต่จะขอข้ามตรงนั้นไป เน้นแต่เรื่องของฟุตบอล

โดยขอเริ่มตั้งแต่ที่ ศึกฟุตบอลโลกปี 1966 รอบชิงชนะเลิศ อังกฤษ ถล่ม เยอรมัน 4-2 แบบดราม่า เนื่องจากประตูที่ 3 ที่อังกฤษ ยิงได้ ฝั่งเยอรมัน ได้ทำการประท้วงเพราะคิดว่าลูกบอลยังไม่ได้เข้าสู่ตาข่าย แต่เถียงอย่างไรก็ไม่เป็นผล

อย่างไรก็ตาม ประตูที่ 4 ตามมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ อังกฤษ ผงาดคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จและเป็นสมัยเดียวที่ อังกฤษ เคยได้จนถึงปัจจุบัน ทว่าในรายการทัวร์นาเม้นต์หลังจากนั้น เยอรมัน จัดการล้างแค้นได้สำเร็จ โดยที่ อังกฤษ ไม่สามารถแก้แค้นได้เลยเป็นเวลาหลายสิบปี

ไล่ตั้งแต่ ศึกฟุตบอลโลกปี 1970 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เยอรมัน สามารถเอาชนะ อังกฤษ 3-2 รวมช่วงต่อเวลาพิเศษ เอาคืนได้อย่างทันควัน ต่อมาในปี 1972 ศึกฟุตบอลยูโร รอบเพย์ออฟ เยอรมัน สามารถเอาชนะ อังกฤษ 3-2 พร้อมเบียดแย่งเข้ารอบยูโร สุดท้ายได้สำเร็จ

ทิ้งให้ อังกฤษ เก็บความแค้นเอาไว้เต็มอก เริ่มจากศึกฟุตบอลโลกปี 1990 รอบ 4 ทีมสุดท้าย เยอรมัน ชนะ อังกฤษ จากการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลาปกติรวมต่อเวลาพิเศษ ด้วยสกอร์ 1-1 ทำให้อังกฤษนอกจากอดชิงแชมป์ แล้วยังพลาดท่าให้กับ อิตาลี จบเพียงอันดับที่ 4

ในการแข่งขันครั้งนั้น เรียกได้ว่า แฟนบอลอังกฤษ โกรธแค้นเคืองอย่างมาก แถมช่วงนั้นเริ่มมีการปะทะกันนอกสนามพอสมควร ทั้งมีการเย้ยหยัน กันไปกันมา มีเหตุทะเลาะวิวาทกันอีกด้วย ซึ่งปัจุบันอาจจะมีการกระทบกันทั่งกันบ้าง แต่จากสถานการณ์โควิด น่าจะทำให้แฟนบอลน่าจะเพลาๆ มือกันไป

ความแค้น ในยุคปัจจุบัน

ต่อมาในการแข่งขันยูโรป 1996 รอบสี่ทีมสุดท้าย เยอรมัน ยังย้ำแค้นอย่างต่อเนื่อง ชนะ อังกฤษ จากการดวลจุดโทษ 7-6 หลังเสมอในเวลาปกติและเวลาพิเศษ 1-1 แต่หลังจากนี้ เป็นช่วงเวลาของทีมชาติอังกฤษกันบ้าง โดยศึกยูโร 2000 รอบแบ่งกลุ่ม อังกฤษ เฉือนชนะ เยอรมัน 1-0 เรียกว่าเอาคืนได้บ้างเสียที

ส่วนต่อมาในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนยุโรป อังกฤษ พลาดท่าแพ้คาบ้านให้กับ เยอรมัน 0-1 แต่ต่อจากนี้คือไฮไลท์ แห่งความสะใจ ของพลพรรคสิงโตคำราม ในวันที่ 1 กันยายน ปี 2001 ณ สนามโอลิมปิก สเตเดี้ยม เมืองมิวนิค ประเทศ เยอรมัน

เยอรมัน เปิดบ้าน รับการมาเยือน ของ อังกฤษ โดยพลพรรคของนักเตะชุดนั้นของทั้งสองชาติ มีแต่แข้งระดับพระกาฬ เริ่มจาก ทัพอินทรีเหล็ก นำทีมโดย โอลิเวอร์ คาห์น, โอลิเวอร์ นอยวิลล์ และ มิชาเอล บัลลัค

ส่วน อังกฤษ นำทีมโดยโคตรนักเตะดังอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, สตีเวน เจอร์ราร์ด, พอล สโคลส์ และ ไมเคิล โอเว่น เกมนั้น อังกฤษ บุกมาถล่ม เยอรมัน ราบคาบ 5-1 กองเชียร์อังกฤษเฮสนามแทบแตก แต่ในปี 2010 ศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย เกมนี้ก็ดราม่าใช่เรื่อง

โดยเกมนั้น อังกฤษ แพ้ให้กับ เยอรมัน 1-4 แต่ดราม่าเกิดขึ้น ในการทำประตูของ แลมพาร์ด ลูกยิงเสียบคานแต่บอลกระเด้งออกมาข้างนอก ผู้ตัดสินและไลน์แมนข้างสนาม เห็นภาพไม่ชัด เลยไม่ได้ให้ อังกฤษ ได้ประตู ตีเสมอ

ตอนนั้น เยอรมัน นำอยู่ 2-1 สร้างความดราม่ากันยกใหญ่ ชนิดที่ว่า อังกฤษ แทบจะบ้าคลั่ง ซึ่งในช่วงนั้น ยังไม่ได้มีการใช้เทคโนโลยี โกลไลน์ หรือมีคนยืนเส้นหลังประตูและ var ในปัจจุบัน แน่นอนว่า อังกฤษ ยังคงสุมความแค้นไว้รอชำระ

ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน หากไม่นับเกมอุ่นเครื่อง ซึ่งสองชาติ ก็อุ่นเครื่องเจอกันอยู่บ้าง ผลัดกันแพ้ ชนะ ตามลำดับ แต่ทุกเกมแฟนบอลสนามแตกเช่นเคย ส่วนเกมนี้ในวันที่ 29 มิถุนายน ศึกยูโร 2020 ระหว่าง อังกฤษ และ เยอรมัน แน่นอนว่าต้องมีผู้ที่สมหวังและผิดหวัง

อย่าลืมติดตามรับชมกันครับ รับรองว่าเกมนี้ไม่มีผิดหวัง ความมัน เต็มเปี่ยม ขุมกำลังของทั้งสองทีมในชุดนี้ แลดูว่า อังกฤษ จะเหนือกว่า เยอรมัน บ้าง แต่แน่นอนว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ห้ามพลาดกันนะครับ

Posted in บทความฟุตบอล

ทีมชาติอังกฤษ ชุดศึกลุย รายการ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 เป็นอีกหนึ่งทีมเต็งที่น่าจับตามอง โดยการคุมทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เคยพาทีมชาติอังกฤษ ไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศในศึกฟุตบอลโลก ปี 2018 มาแล้ว ซึ่งหนึ่งในนักเตะที่น่าสนใจที่สุดของทีมชุดนี้อย่าง จาดอน ซานโช่ ที่โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงกับต้นสังกัดใน บุนเดสลีกา

แต่ประเด็นที่หลายคนสงสัยคือทำไมเจ้าตัวถึงไม่ได้ลงสนามเลยจาก 2 นัดแรก ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันพอสมควร โดยทีมงาน วิเคราะห์บอล UFA ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุนี้ ให้เพื่อนลองอ่านกันเพลินๆ

ทำไม จาดอน ซานโช่ ถึงไม่ถูกส่งลงสนามจาก 2 นัดแรก

เป็นเรื่องที่มึนงง ที่ จาดอน ซานโช่ ไม่ได้ลงสนาม ทั้งที่ทำผลงานกับสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยลงสนามทั้งหมด 38 นัด ยิงได้ 16 ประตูและจัดไปอีก 20 แอสซิสต์ แถมยังเป็นนักเตะตัวรุกของทีมชาติอังกฤษที่ทำผลงานส่วนตัวได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2020/21 น่าจะเป็นตัวเลือกเบอร์ 1 ในตำแหน่งปีกขวาทีมชาติอังกฤษ

ทว่า แกเร็ธ เซ้าท์เกต ไมได้ตัดสินใจส่งลงสนาม โดยเกมแรกเจ้าตัวไม่มีชื่อแม้กระทั่งม้านั่งสำรอง ในเกมที่ อังกฤษ เอาชนะ รัสเซีย 1-0 ต่อมาเกมที่สอง เกมที่เสมอกับ สก็อตแลนด์ แบบไร้สกอร์ โดย ซานโช่ นั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง แต่ยังไม่รับโอกาสให้ลงสนาม ซึ่งทำให้แฟนบอลและนักวิจารณ์งงเข้าไปใหญ่

แม้แต่ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตกองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังออกมาวิจารณ์ความว่า “ผมไม่เคยสงสัยเลยว่า เรามีผู้เล่นในแนวรุกที่สามารถพลิกเกม และใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ แต่ ซานโช ยังไม่ได้ลงสนามเลย เขาพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่นักเตะที่มีฟอร์มมหัศจรรย์แค่ฤดูกาลเดียว แต่เขาทำมันมากแล้วถึง 3 ฤดูกาล”

“ผมมีความรู้สึกว่า เราสามารถเปลี่ยนรูปเกมได้ด้วยตัวสำรอง แต่เรากลับตัดสินใจช้าเกินไป (เกมกับสกอตแลนด์) ขณะที่หนึ่งในผู้เล่นที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สุดของทีม ตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมากับต้นสังกัด เกมแรกไม่มีชื่ออยู่ในทีม

ส่วนเกมที่สองรองเท้าของเขาไม่เปียกเลยด้วยซ้ำ” “ผมแค่คิดว่า เรามีนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์บางคน ที่แฟนบอลกำลังเรียกร้องและอยากเห็นพวกเขาบนสนาม เราจะสามารถเอาชนะทุกอย่างได้ พวกพวกเขาเล่นในพื้นที่ด้านกว้างมากขึ้น” ริโอ กล่าวอย่างมีอารมณ์อ่อนๆ

ไม่เว้นแม้แต่ซานโช่ แต่อย่าง มาร์คัส แรซฟอร์ด เกมที่สองก็เป็นเพียงตัวสำรอง รวมถึง แจ็ค กริลิช ก็เพิ่งได้ลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมที่เจอกับ สก็อตแลนด์ การที่ ซานโช่ ยังไม่ได้ลงสนาม ส่วนนึงสาเหตุอาจเกิดจากเกมแรก เจ้าตัวยังไม่ฟิตพอหรือร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องพักฟื้นเสียหน่อย

พอเกมที่สองที่อยู่บนม้านั่งสำรองเจ้าตัวอาจจะอาการดีขึ้นแล้ว แต่ตัวกุนซืออยากให้ ซานโช่ ฟิตเต็มที่ อาจจะได้ลงสนามในเกมนัดที่สามก็เป็นได้ หรือไม่ก็ ซานโช่ ยังเล่นไม่เข้าแผนของ แกเร็ธ เซ้าท์เกต โดยปกติ ซานโช่ จะปักหลักในเกมรุกไม่ค่อยลงมาช่วยเกมรับทางกราบข้างเสียเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นเหตุผลนึงให้เจ้าตัวยังอยู่บนม้านั่งสำรองก็เป็นได้

ด้วยฟุตบอลสมัยนี้ ผู้เล่นในตำแหน่งเกมรุกมักจะต้องลงมาช่วยเกมรับอยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงแผนของ เซ้าท์เกต ยังไม่แน่นอนเสียเท่าไหร่ รูปแบบการเล่นเหมือนจะดี แต่ก็ยังงงๆ อยู่พอสมควร จากสถานการณ์นี้ทำให้มีคำถามมากมาย ถามถึงตัวกุนซือ ว่าทำไมไม่ส่งแข้งที่น่าจะเพิ่มมิติเกมรุกของทีมชาติให้ดียิ่งขึ้นลงสนาม

ซึ่ง แกเร็ธ เซ้าท์เกต ได้ออกมากล่าวว่า “ในกลุ่มนักเตะเกมรุก เรามีตัวเลือกให้ใช้งานมากมาย เรามีนักเตะดาวรุ่งหลายคน แต่พวกเขามีประสบการณ์ในการเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่เป็นครั้งแรก ดังนั้นในฐานะสตาฟฟ์โค้ชเรามีความคาดหวังพวกเขาเป็นการส่วนตัว จาดอน มีส่วนผสมหลายๆ อย่าง เขาฝึกซ้อมได้ดีเยี่ยมในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และแน่นอนว่าเรามีตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับการตัดสินใจว่าจะให้ใครลงสนามในเกมนั้นๆ” เซ้าท์เกต กล่าว แต่จากที่ว่ามา เป็นการตอบคำถามที่กว้างเหลือเกิน

แต่อย่างใดก็ตาม โอกาสที่ จาดอน ซานโช่ ได้ลงสนามอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะเป็นเกมไหน เพราะทัวร์นาเม้นต์สำคัญแบบนี้ ส่วนมากกุนซือจะให้ลงสนามในเกมนัดที่สาม ให้โอกาสผู้เล่นที่ติดทีมมาลงสนาม แต่ก็ยังงงอยู่ดี ว่าทำไม ปีกขวาที่น่าจะเป็นเบอร์ 1 ของทีมชาติอังกฤษ ไม่ได้ลงสนามเสียที

บทสรุป

แม้จะค่อนข้างน่าแปลกใจ ที่ ซานโช่ ยังไม่ได้ลงสัมผัสเกม ยูโร หนนี้ แม้แต่วินาทีเดียว แถมเกมรุกของ สิงโตคำราม ในปัจจุบันถือว่าน่าอึดอัด สองตัวจริงอย่าง โฟเด้น และ สเตอร์ลิง ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเกมบุกของพวกเค้าได้เท่าไหร่นัก จึงทำให้เชื่อว่า โอกาสของเจ้าตัว น่าจะใกล้เข้ามาทุกที

และพวกเรายังมีบทความฟุตบอล และบทวิเคราะห์อื่นๆ มากมาย ไม่อยากให้เพื่อนๆ พลาดสิ่งดีๆ จากพวกเรา จึงขอให้ทุกท่านติดตาม ufa.soccer กันต่อไปเรื่อยๆ สำหรับวันนี้ลาไปก่อน ขอบคุณครับ

Posted in วิเคราะห์บอลวันนี้

เข้าสู่การแข่งขัน ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 แล้ว แน่นอนว่าทัวร์นาเม้นต์นี้ มียอดทีมชาติจากยุโรปเข้ารอบการแข่งขันหลากหลายทีม ซึ่งก็แล้วแต่ขาฟุตบอล นักเดิมพัน ลงทุน จะเทใจเชียร์ ทว่าทำไม ทีมชาติอังกฤษ ถึงเป็นชาติที่แฟนบอลชาวไทย เทใจเชียร์กันมาอย่างเนิ่นนาน

ไม่ว่าจะทัวร์นาเม้นต์ รายการสำคัญขนาดไหน แฟนบอลชาวไทยมักจะเชียร์ ทีมชาติอังกฤษ เยอะมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด วันนี้ทีมงาน ufa.soccer จะมาเจาะลึกว่าทำไม ทำไม ทีมชาติอังกฤษ ถึงเป็นขวัญใจแฟนบอลไทย

จุดเริ่มต้นของ ทีมชาติอังกฤษ กับแฟนบอลไทย

ในช่วงยุคก่อนที่ยังไม่มีโซเชียลบูมกันขนาดนี้ การรับชมฟุตบอลในสมัยนั้น หายากมากเหลือเกิน โดยช่วงแรก ทางช่องฟรีทีวี หรือ สื่อต่างๆ เกี่ยวกับฟุตบอล พยายาม ตั้งใจนำเสนอ ดิวิชั่น 1 หรือ พรีเมียร์ลีก ในปัจจุบันอย่างมาก

ทั้งนิตยสารและสื่อต่างๆ ป้อนให้แฟนบอลชาวไทยได้รับรู้กัน ซึ่งไฮไลท์และการถ่ายทอดสดสมัยนั้น หาดูยาก แต่ก็เริ่มได้ความนิยมมาเรื่อยๆ โดยผลงานกับสโมสรในอังกฤษ ก็ทำกันได้ดี

ยกตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูล หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสองทีมที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างมากในช่วงนั้น รวมถึงทีมอื่นๆ ในลีก ก็เล่นได้ดี สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ

โดยช่วงก่อนหน้านั้น นักเตะส่วนใหญ่ในทีมยังเป็นชาวอังกฤษ, สกอตแลนด์, ไอร์แลนด์ หรือ เวลส์ เป็นต้น ไม่ค่อยมีนักเตะต่างชาติเข้ามามากนัก แต่จากความสนุกของเกมการแข่งขัน รวมถึงการคว้าแชมป์เป็นว่าเล่นของยอดทีมอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ยิ่งทำให้แฟนบอลชาวไทยสนใจมากขึ้นและเลือกทีมที่เชียร์เป็นทีมโปรดในดวงใจ ทำให้สื่อกีฬามีคนติดตามเพิ่มมากขึ้น เฝ้ารอการรายงานผลการแข่งขัน หรือรอตามแผงร้านหนังสือ นิตยสาร ทุกวัน

รวมถึงเริ่มมีนิตยสารรายสัปดาห์ มีโปสเตอร์ให้สะสมกันเสียด้วย ซึ่งเป็นที่โปรดปรานเข้าไปใหญ่ ทีนี้พอเริ่มมีทัวร์นาเม้นต์เกมที่ชาติ ก็ทำให้แฟนบอลชาวไทย เทใจมาเชียร์ทีมชาติอังกฤษกันมากขึ้น

แม้ช่วงนั้น จะมีกัลโช่ เซเรีย อา ที่มีนักเตะสตาร์ดังๆ ค้าแข้งอยู่มากกว่าก็ตาม แต่การประโคมข่าวที่เน้นไปทางฝั่งลีกอังกฤษ รวมถึงมีทีมงาน ผู้สื่อข่าว ไปเกาะติดสถานการณ์ถึงเกาะอังกฤษ จึงทำให้ความนิยมสำหรับลีกอังกฤษ ส่งตรงถึงประเทศไทยมีมากกว่า

ถึงแม้ทีมชาติอังกฤษจะไปไม่ถึงตำแหน่งแชมเปี้ยนของรายการนั้นๆ แต่ชาวไทยยังเชียร์มากที่สุดเหมือนเดิม ในช่วงต่อมายิ่งแล้วใหญ่ ในช่วงที่ นักเตะทีมชาติอังกฤษเริ่มมีสตาร์มากขึ้น ทั้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด หรือ เดวิด เบ็คแฮม

ซึ่งสองผู้เล่นรายนี้ โดยเฉพาะรายหลัง นอกจากทำให้แฟนบอลชาวไทยชื่นชมทั้งฝีเท้าและหน้าตา ยังทำให้ลีกอังกฤษโด่งดังมากขึ้นไปอีก

ทีนี้สื่อฟรีทีวี เริ่มนำเสนอข่าวคราวเกี่ยวกับ ฟุตบอลลีกอังกฤษมากยิ่งขึ้น ทำให้ความนิยมพุ่งกระฉูด เราจะเห็นแฟนบอล ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียบไปหมด

ตรงนี้เริ่มมีความผูกพันเพิ่มเข้ามา รวมถึงมีการถ่ายทอดสดบอลลีกหรือบันทึกการแข่งขันย้อนหลัง ก็ยังได้รับความนิยมเช่นเดิม ช่วงนั้นถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็มีแค่ แมนยูฯ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งแฟนบอลในไทยต่างเทใจเชียร์สองสโมสรนี้มากที่สุดในประเทศแล้ว

พอมาเป็นเกมฟุตบอลทีมชาติ แน่นอนว่า แฟนบอลชาวไทยก็เชียร์เพิ่มมากขึ้นไปอีก ่ส่วนนึงอาจเป็นเพราะ การนำเสนอข่าวลีกอื่นน้อยเกินไป ทำให้รายการสำคัญๆ เกมทีมชาติ ใครคิดอะไรไม่ออกก็เชียร์อังกฤษ

รวมถึงขุมกำลังในชุดก่อน มีแต่สตาร์ดังเต็มทีมชาติไปหมด จึงทำให้ลีกอังกฤษและทีมชาติอังกฤษ ได้รับความนิยมจากแฟนบอลชาวไทยจนถึงทุกวันนี้

ยิ่งช่วงเวลาผ่านมาจนปัจจุบัน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็เป็นลีกที่แฟนบอลชาวไทยรอคอยการแข่งขันตลอด ด้วยวันเวลาที่เปลี่ยนผ่าน มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น แข้งสตาร์ดังจากต่างชาติ เข้ามาอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่ มาพร้อมกับการแข่งขันที่สนุกตื่นเต้นเร้าใจเหมือนเดิม

รวมไปถึง สโมสรเล็ก แฟนบอลชาวไทยก็คุ้นเคยกันอยู่ดี ไม่ว่านักเตะจะมีชื่อเสียงมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าทำผลงานได้ดี แฟนบอลก็ยังคุ้นชื่อกันมากกว่าลีกอื่นเป็นไหนๆ

ในส่วนทัวร์นาเม้นต์ ยูโร 2020 กลุ่มแฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่ ยังเทใจเชียร์ ทีมชาติอังกฤษ มากที่สุดเหมือนเดิม (อ้างอิงจาก เคบียู สปอร์ต โพล)

บทสรุป

ต้องบอกว่า ฟุตบอลอังกฤษ อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ไม่น่าแปลกใจ ที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และทีมชาติอังกฤษ จะได้รับความสนใจล้นหลาม จากแฟนบอลฟุตบอลชาวไทย ไม่ว่าจะในระดับสโมสร หรือระดับนานาชาติ เราก็จะได้เห็นแฟนบอลไทย ตามเชียร์ทีมชาติอังกฤษ หรือทีมที่มาจากลีกแดนผู้ดี มากมายมหาศาล จึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ ทัพสิงโตคำราม เป็นขวัญใจอันดับหนึ่ง ของเหล่าแฟนฟุตบอลไทย

วันนี้พวกเรา ก็ขอลาเพื่อนๆ ไปเพียงเท่านี้ หากไม่อยากพลาด บทวิเคราะห์ฟุตบอล และ บทความฟุตบอลที่น่าสนใจ อย่าลืมติดตามพวกเรา ได้ที่ ufa.soccer ได้ทุกวัน เป็นประจำเช่นเคย

Posted in บทความฟุตบอล

เกมที่ ทีมชาติอังกฤษ เฉือนชนะ ทีมชาติโครเอเชีย ด้วยสกอร์ 1-0 ด้วยรูปเกม คงไม่มีอะไรที่ต้องพูดถึงกันมากนัก เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ทว่าเกมนี้ มีประวัติศาสตร์เกิดขึ้น นั่นก็คือ จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์จากสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามแทนที่ แฮร์รี เคน ในนาทีที่ 82 ได้กลายเป็นสถิติเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงสนามในศึก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร รอบสุดท้าย ด้วยวัย 17 ปี 349 วัน ทำลายสถิติเดิมของ เยโทร วิลเล่มส์ ดาวเตะทีมชาติ ฮอลแลนด์ ที่เคยทำไว้ด้วยวัย 18 ปี 71 เมื่อในยูโร 2012

เจ้าหนูรายนี้ เป็นใครกัน มีใครเคยได้ยินเรื่องของเขาแว่วๆ หรือไม่? ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ย้ายไปอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ วันนี้ทีมงาน ufa.soccer มีคำตอบให้ครับ

รู้จักกับ จูด เบลลิงแฮม

จูด เบลลิงแฮม เกิดในเมืองสตัวร์บริดจ์ ในเทศมณฑลเวสต์ มิดแลนด์ส ประเทศอังกฤษ เกิดวันที่ 29 มิถุนายน ค.ส. 2003 ปัจจุบันอายุ 17 ปี โดยเจ้าตัวเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่การเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสร เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ ตั้งแต่อายุไม่ถึง 8 ปีและได้ประเดิมเกมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ได้ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี

เจ้าตัวอยู่กับทีมอย่างยาวนานและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ฟอร์มก้าวกระโดดจนสามารถติดทีมชุดใหญ่ ได้ในฤดูกาล 2019/2020 ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ 44 นัด ทำได้ 4 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ ว่าง่ายๆ แถมยังลงสนามในลีกให้กับ เบอร์มิ่งแฮม ไปถึง 41 นัด

ยึดตัวหลักได้อย่างเหนียวแน่น แถมยังเป็นแข้งอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ เบอร์มิ่งแฮม อีกต่างหาก และยังเป็นแข้งอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่ทำประตูให้กับทีมชุดใหญ่ ฟอร์มดีจน แกเร็ธ เซาท์เกต เรียกติดทีมชาติในช่วงปลายปีก่อน

ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าตัวติดทีมชาติชุดเล็กแทบทุกรุ่นมาแล้ว ส่วนเรื่องการย้ายทีมหลังจากจบฤดูกาล 2019/2020 มีกระแสข่าวลืออย่างหนัก บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต่างต้องการจะคว้าลายเซ็นต์นักเตะรายนี้ไปร่วมทีม

ครั้งนึง เจ้าตัว เคยได้รับเชิญให้มาเยี่ยมศูนย์ฝึกของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกด้วย ทว่าท้ายที่สุด จูด เบลลิงแฮม ตกลงข้ามประเทศย้ายไปร่วมทัพกับสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัวประมาณ 26 ล้านปอนด์ พร้อมสัญญายาว 5 ปี

สไตล์การเล่นของเขาเป็นนักเตะประเภทห้องเครื่องของทีม ที่พร้อมจะวิ่งควบคุมแดนกลาง ทั้งเกมรับและเกมรุก การจ่ายบอลก็ถือว่าทำได้ดี รวมถึงเกมรับการเข้าสกัด ก็ทำผลงานได้ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่

ฤดูกาลแรกของเขากับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ลงสนามทั้งสิ้น 46 นัด รวมทุกรายการ ถือว่าได้รับโอกาสอย่างมากกับการลงสนามด้วยวัยเพียง 17 ปีกับสโมสรระดับโลก ยอดทีมจากบุนเดสลีกา โดยยิงได้ 4 ประตูและแอสซิสต์อีก 5 ลูกด้วยกัน

เส้นทางกับทีมชาติอังกฤษ

ส่วนการประเดิมทีมชาติชุดใหญ่นัดแรก เจ้าตัวได้ลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 73 กับเกมอุ่นเครื่อง ทีมชาติอังกฤษ พบ ทีมชาติไอร์แลนด์ โดยเกมนั้น อังกฤษ ชนะ 3-0 ก่อนที่จะได้รับโอกาสติดทัพชุดใหญ่มาเรื่อยๆ

และท้ายที่สุด แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้เรียกตัวเขา ติดทีมชุดลุยศึกฟุตบอล ยูโร 2020 โดยกุนซือให้สัมภาษณ์ ความว่า คุณได้เห็นฝีเท้าของเจ้าหนูรายนี้แล้ว ทั้งบุนเดสลีกา และ แชมเปี้ยนชิพ เจ้าหนูรับมือกับความกดดันได้อย่างดี

โดยเขายังเป็นนักเตะที่มุ่งมั่นทั้งสนามจริงและสนามซ้อม เขาจะไม่ได้เข้ามาแค่เพิ่มประสบการณ์เท่านั้น แต่จะได้มีส่วนร่วมกับรายการนี้แน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่กุนซือทีมชาติอังกฤษกล่าวขึ้น

เพราะเกมนัดแรกของ ทีมชาติอังกฤษ ที่พบกับ ทีมชาติโครเอเชีย เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา จู้ด เบลลิงแฮม ได้ลงสนามเป็นตัวสำรองแทนที่ แฮร์รี เคน ในนาทีที่ 82 ซึ่งกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ของรายการ ฟุตบอลยูโร ที่ได้ลงสนาม

แม้ฟอร์มยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ก็กลายเป็นผู้เล่นที่สร้างสถิติใหม่ให้กับ ยูโร 2020 ท้ายที่สุด ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีกว่าๆ เจ้าตัวน่าจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของทีมชาติอังกฤษ อย่างแน่นอน

Posted in บทความฟุตบอล